เชื่อว่า คนที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจมาสักพักแล้ว จะมองธุรกิจของตัวเองออก ว่ากำลังไปในทิศทางที่ดี เตรียมรับความสำเร็จ หรือ อาจจะต้องหยุดธุรกิจนั้นลง เพราะผลตอบรับไม่ค่อยดีนัก สิ่งเหล่านี้ มักเป็นเรื่องที่กังวลใจของธุรกิจหลายคน ที่ลงทุนไปแล้ว อยากได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ถ้ามองกลับมาดีๆ การที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ย่อมเริ่มมาจากการวางแผนธุรกิจที่ดี วางกลยุทธ์ทางการตลาดทุกช่องทางอย่างรอบคอบ และเป็นระบบ ถึงจะสามารถย้อนกลับมาดู แก้ไข ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคคล้องกับธุรกิจได้

ดังนั้น ทุกการทำธุรกิจ จึงควรมีเครื่องมือช่วยวางแผน เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น เราเรียกเครื่องมือนี้ว่า Business Model Canvas หรือ BMC ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากในการวางแผนธุรกิจ ทำให้เรารู้ว่า ธุรกิจของเราคืออะไร สามารถอธิบายธุรกิจของตัวเองได้ หาจุดเด่นของธุรกิจให้เจอ และทำให้เราวางกลยุทธ์ได้ว่าคนจะรู้จักสินค้าเราได้อย่างไร คุยกับพาร์ทเนอร์ยังไงให้น่าเชื่อถือ ทุกแผนธุรกิจอยู่ได้ในกระดาษแผ่นเดียว ไม่ต้องเสียเวลาเขียนแผนเป็นร้อย ๆ หน้า ถ้าใครได้รู้จักการทำ Business Model Canvas มั่นใจได้เลยว่า ธุรกิจเดิมจะถูกยกระดับให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นแน่นอน

Business Model Canvas  คืออะไร

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าเครื่องมือ Business Model Canvas (BMC) คืออะไร ถ้าให้นิยามความหมายง่ายๆ Business Model Canvas คือ ภาพรวมของธุรกิจทั้งหมด ที่เราจะทำ หรือกำลังทำ ซึ่งใน Business Model Canvas มีส่วนประกอบสำคัญต่างๆ ที่แสดงให้รู้ว่า ธุรกิจของเราคืออะไร ทำให้เกิดรายได้อย่างไร และมีคุณค่าต่อผู้ใช้ยังไง ทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ สิ่งที่เรากำลังขาย เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ รึเปล่า กลุ่มลูกค้าของเราคือใครกันแน่ ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ เราทำได้ผ่าน Business Model Canvas แบ่งได้ทั้งหมด 9 ส่วนประกอบ เรามาดูกันว่า มีอะไรบ้าง

  1. Customer Segment คือ กลุ่มแรกที่ต้องเขียนลงไปใน  Business Model Canvas คือ กลุ่มบุคคลหรือบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรากำหนดให้เป็นเป้าหมาย เพื่อขายสินค้าหรือบริการให้  เป็นการหาว่า ลูกค้าของเราเป็นใคร แยกได้ตาม พื้นที่ เพศ อายุ พฤติกรรม ความสนใจ ฯลฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เกิดสินค้าที่มีคุณค่า เป็นที่ต้องการ เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ที่สุด
  2. Customer Relationships  คือ การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเขียน Business Model Canvas เราต้องออกแบบวิธีการรักษาฐานลูกค้าไว้ จากแผน Customer Journey Map เพื่อดูว่า ลูกค้าเกิดปัญหาอะไร เปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้วเกิดการตัดสินใจซื้อ รวมถึงทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำให้ได้ ทำความเข้าใจกับขึ้นต้องที่ลูกค้าต้องเผชิญ เพื่อแก้ปัญหาและขยายฐานลูกค้าให้ตรงจุด การเขียน CRM ถือว่า เป็นความยั่งยืนทางธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะใช้ต้นทุนในการทำการตลาดน้อย และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้แบรนด์สินค้าเกิด Royal Customer ได้ด้วย
  3. Channel คือ ช่องทางในการส่งมอบคุณค่าถึงลูกค้า ใน Business Model Canvas  ข้อนี้ จะทำให้เราสามารถสื่อสารและเข้าถึงลูกค้าของเราได้ เป็นการเลือกว่าจะเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางไหน เช่น เปิดคาเฟ่ เราจะเพิ่มการรับรู้ให้ลูกค้าผ่านช่องทางไหนได้อีก ขยายเพิ่มไปทาง Facebook, Instragram หรือ สร้าง Tiktok ทำคอนเท้นต์เมนูกาแฟสวยๆ หรือบรรยากาศในร้าน ให้คนสนใจอยากมาใช้บริการ 
  4. Revenue Strem คือ กระแสรายได้ ธุรกิจของเรา ทำรายได้อย่างไร แหล่งที่มาได้มาอย่างไร จากการขายสินค้า หรือบริการ เราต้องมีรายละเอียดชัดเจนลงใน  Business Model Canvas ว่าสินค้าของเรามีคุณค่า จนลูกค้ายอมจ่ายด้วยอะไร กระแสรายได้ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Transactional Revenue เป็นการชำระครั้งเดียว  ซื้อครั้งเดียว แล้วรอกลับมาซื้อซ้ำใหม่อีกครั้ง ส่วนอีกแบบ คือ Recurring Revenue เป็นการชำระแบบต่อเนื่อง เช่น การจ่ายตัดผ่านบัตรเครดิตทุกเดือน ทำให้เรามีรายได้เป็นประจำ 
  5. Key Activities คือ กิจกรรมหรืองานที่เราต้องทำ เพื่อให้ธุรกิจบรรลุตามเป้าหมายได้สำเร็จ แล้วเกิดการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ใน Business Model Canvas  เราจะต้องเขียนทุกกิจกรรมหลักที่เราต้องทำ ระหว่างทางสามารถปรับเปลี่ยนกิจกรรมได้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย สินค้า และบริการของเราด้วย โดยประเภทของ Key Activities ได้แก่ Production การออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ การผลิต การส่งมอบงาน Problem Solving มีวิธีบริหารจัดการยังไง หลังขายสินค้าไปแล้ว จะแก้ไขปัญหาลูกค้าได้อย่างไร Platform/ Network มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของระบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น ฯลฯ ที่จะต้องตอบโจทย์การรับรู้ของลูกค้าด้วย
  6. Key Resources คือ ทรัพยากรหลัก ที่จะแสดงรายการปัจจัยการผลิต ใน Business Model Canvas เพื่อดำเนินกิจกรรมธุรกิจต่างๆ ได้อย่างราบรื่น วิเคราะห์ได้ว่าทรัพยากรที่มี จะสามารถสร้างคุณค่าให้กับสินค้าได้ การมี Key Resources จะต้องมีเรื่องของ Human (คน) Financial (เงิน) Intellectual (การจดสิทธิบัตร)  Physical (สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ) เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้เราสามารถจัดการธุรกิจได้อย่างลงตัว 
  7. Key Partner คือ คู่ค้าหลัก หรือกลุ่มพันธมิตรของธุรกิจเรา ใน Business Model Canvas ส่วนนี้เป็นคนที่จะช่วยให้เราดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี เพื่อลดความเสี่ยง และขยายอำนาจของธุรกิจ โดยมีพาร์ทเนอร์มาช่วยซัพพอร์ต ไม่ต้องใช้ทรัพยากรของตัวเองทั้งหมด เช่น ทำธุรกิจแอพพลิเคชั่นคอนเท้นต์หนัง ซีรีส์ ก็ต้องมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เป็นบริษัทหนัง ซีรีส์ต่างประเทศ มาร่วมทำด้วย 
  8. Cost Structure คือ ต้นทุนที่เราต้องระบุ วางแผนโดย Business Model Canvas ประเมินต้นทุนตั้งแต่แรก จนถึงการส่งมอบงาน การดำเนินกิจกรรม การรักษาฐานลูกค้า ธุรกิจสามารถแบ่งความสัมพันธ์ของต้นทุน ได้ 2 แบบ คือ Cost-driven business เน้นกลยุทธ์ของต้นทุน เช่น ธุรกิจต้นทุนต่ำ และ Value- driven business เน้นคุณค่าของสินค้า บริการ เช่น ให้ความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นหลัก
  9. Value Preposition คือ เขียนคุณค่าของสินค้า ใน Business Model Canvas ที่ต้องแตกต่างจากคู่แข่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ก็ต้องเป็นนวัตกรรมที่แตกต่างจากเดิม แต่หากทำสินค้าที่มีในตลาดแล้ว ก็ต้องโดดเด่น เราต้องให้ความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ ที่จะได้รับคุณค่าจากสินค้าและบริการของเรา 

ทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญ ใน Business Model Canvas ที่คนทำธุรกิจ จะต้องเขียนลงไป เพื่อใช้เป็นแนวทาง ปรับธุรกิจเดิม ให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยการประยุกต์ใช้ Business Model Canvas เป็นหลัก

ยกตัวอย่าง Case Study  หากเขียนลงใน Business Model Canvas : Apple แบรนด์สมาร์ทโฟนระดับโลก ขายแพง แต่ยอดทะลุเป้าทุกปี 

  1. Customer Segment: กลุ่ม High-end มีกำลังซื้อสูง/ กลุ่มที่ใช้ Apple อยู่แล้วเปลี่ยนทุกปี
  2. Key Activities: ใส่ใจและควบคุมรายละเอียดของ Operation ทุกด้าน มีระบบเฉพาะไม่เหมือนใคร
  3. Cost Structure: ลดต้นทุนจากการทำกล่อง รุ่นหลังไม่ใส่ที่ชาร์จแถม ทำให้กล่องเล็กลง ส่งของไปขายได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนเท่าเดิม แต่ขายดี ได้กำไร รวมถึง Apple ไม่ได้ผลิตเอง หาพาร์ทเนอร์ผลิต แต่ Apple ควบคุมคุณภาพ คุมต้นทุนได้ดี, ทำ Marketing & Branding เป็นที่จดจำ
  4. Value Preposition: สมาร์ทโฟนระดับสูง เทคโนโลยีขั้นสูง การใช้งานเสถียรด้วยระบบปฏิบัติการ IOS ที่อัพเดทได้เรื่อยๆ และยังใส่ใจด้วยระบบ Eco System 
  5. Channel: Apple Store
  6. Revenue Strem: ยอดดาวน์โหลดแอพจาก App Store, มี App Developers สำหรับให้นักพัฒนามาเขียนแอพได้เลย แล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์กัน
  7. Key Resources: IOS Platform ของตัวเอง, แบรนด์ที่แข็งแกร่ง, ควบคุม Cost เองได้
  8. Key Partner: มีโรงงานผลิตที่เป็นพาร์ทเนอร์ ไม่ต้องผลิตเอง
  9. Customer Relationships: ด้วยความเป็นแบรนด์ระดับสูง ราคาสูงแต่เทคโนโลยีดีมาก การดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้แล้วคุ้มค่า ลูกค้ามองเห็นคุณค่าของแบรนด์ รักในตัวแบรนด์ และใช้รุ่นต่อๆ ไปของ Apple 

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Apple ได้คิด Business Model ที่ครอบคลุมทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านได้ครบ และชัดเจน แม้จะออกมากี่รุ่น ก็ยังติดตลาดโลก มีคนนิยมซื้อใช้ ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน 

สรุปแล้ว ธุรกิจเดิม อยากประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ยังไม่เคยทำ Business Model Canvas ควรได้ลองทำดู ไม่ยากเลย ทำทุกแผนธุรกิจให้อยู่ใน Business Model Canvas แผ่นเดียว ประยุกต์ใช้ให้เป็น ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน

หากใครไม่รู้ว่าจะใช้ Business Model Canvas มาลงคอร์ส นี้ BUSINESS MODEL CANVAS ออกแบบแผนธุรกิจ ด้วยการเขียน Business Model “ถ้าธุรกิจจะเจ๊ง ก็ให้เจ๊งแค่ในกระดาษ” สอนการใช้ BUSINESS MODEL CANVAS เปิดมุมมองการวิเคราะห์ธุรกิจ และตัวอย่างจาก Case Study ทั่วโลก พบกันที่ eddu เลย

แน่นอนว่า หลักการพื้นฐานของการทำเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือคนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว ขาดไม่ได้เลย กับการวางกลยุทธ์ในการบริหารการเงิน หรือ finance for entrepreneurs  เพื่อจะที่จะสู้กับคู่แข่งในตลาดให้ได้ สิ่งหนึ่งก็คือการวิเคราะห์ข้อมูลของคู่แข่ง และต้องดูงบแสดงฐานะการเงินของธุรกิจคู่แข่งเป็น เพื่อสร้างกลยุทธ์ผ่านการเงินภาพรวมของคู่ค้า แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะไปดูภาพรวมการวิเคราะห์งบการเงินของธุรกิจคู่แข่งได้อย่างไร หากใครยังไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ง่ายมาก เพียงแค่เข้าไปในเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า https://www.dbd.go.th/  เราอยากดูธุรกิจคู่แข่งเจ้าไหน ก็ลองมาวิเคราะห์งบการเงินกันได้เลย เพื่อจะได้วางแผนธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่งได้ ถ้ายังไม่เข้าใจมากคงต้องลองลง คอร์สเรียน finance ในภายหลัง เพื่อให้เข้าใจการวิเคราะห์งบการเงินคู่แข่งมากขึ้น

ข้อดีของการเข้าไปส่องภาพรวมการเงินของคู่แข่ง จากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดีต่อธุรกิจของคุณอย่างไร และจะให้ข้อมูลอะไรกับเราได้บ้าง มาดูกัน

  1. ข้อมูลนิติบุคคล เพราะการมองธุรกิจของคู่แข่ง เราจำเป็นต้องรู้ถึงที่มาที่ไปของธุรกิจ การเข้าไปดูภาพรวมจากเว็บไซต์ของ DBD จะช่วยให้ทราบถึง สถานะของนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน ทุนที่ชำระแล้ว ปีที่ส่งงบการเงิน ข้อมูลที่ตั้ง ได้แก่ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ อีเมล  รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น รายชื่อคณะกรรมการ กรรมการที่ลงชื่อผูกพัน ประเภทธุรกิจ วัตถุประสงค์บริษัท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ ที่ทำให้คนทำธุรกิจ วางแผนการเงินไปในทิศทางที่เป็นไปได้ และลงทุนเพื่อเหนือกว่าคู่แข็งได้อย่างสมเหตุสมผล
  2. ข้อมูลงบการเงิน การดูข้อมูลงบการเงินของคู่แข่งทางธุรกิจ จะทำให้ของธุรกิจของเรา มีแนวทางในการวางงบการเงินที่ดี ว่าไปในทิศทางไหน ถึงจะใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลกำไร และรู้งบขาดทุนได้ โดยการเข้าไปดูข้อมูลงบการเงินจากเว็บไซต์ของ DBD จะทำให้ได้ทราบถึง งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน อัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งสามารถแสดงการเปรียบเทียบประเภทธุรกิจเดียวกันได้ สำหรับงบกำไรขาดทุน จะแสดงให้เห็นตั้งแต่ รายได้ ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ภาษีเงินได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์งบการเงินและกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันได้

ทำไมต้องวิเคราะห์งบการเงินของคู่แข่ง

เราได้เห็นข้อดีกันไปแล้ว ว่าการส่องภาพรวมธุรกิจของคู่แข่ง จากเว็บไซต์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้านั้น ดีอย่างไร เราจำเป็นต้องวิเคราะห์งบการเงินของคู่แข่ง เพราะว่า ในโลกของธุรกิจ การแข่งขัน เพื่อเป็นเจ้าตลาด เป็นสิ่งที่ดุเดือดมาก และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ละธุรกิจ จะต้องรู้เท่าทันกลยุทธ์ จุดแข็ง จุดอ่อนของคู่แข่ง เพื่อช่วยให้ธุรกิจของเราได้ปรับตัว วางแผน และสร้างกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ และก้าวไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

การเข้าเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการวิเคราะห์งบการเงินคู่แข่งโดยเฉพาะข้อมูลด้านการเงิน เราสามารถเข้าไปดูข้อมูลคู่แข่งได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

1. ค้นหาข้อมูลบริษัทคู่แข่ง

2. วิเคราะห์งบการเงิน

3. เปรียบเทียบข้อมูลกับธุรกิจของคุณ

4. ประโยชน์ของการวิเคราะห์ข้อมูลคู่แข่

ลองนำวิธีการนี้ไปใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขับเคลื่อนธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความรู้ของการวิเคราะห์ข้อมูลคู่แข่งเท่านั้น หากอยากรู้วิธีการดูภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นงบกำไร ขาดทุนของคู่แข็ง อย่างตรงจุด ดูได้ละเอียดอย่างเป็นขั้นตอน รู้ว่าจะต้องดูยังไงถึงจะเข้าใจจริงๆ เรามีหลักสูตรการเงินพื้นฐานกับ คอร์ส Finance for Entrepreneur by eddu คอร์สที่จะได้เรียนรู้เรื่องการเงินแบบง่าย สำหรับเจ้าของธุรกิจ รู้ตัวไว จัดการธุรกิจเป็น ก่อนจะล้ม เพราะเรื่องของเงินกับเจ้าของธุรกิจ เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการศึกษาเอาเอง อาจไม่เข้าใจทั้งหมด เท่ากับฟังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ในคอร์สเรียน finance จะพาไปเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับการเงินในการทำธุรกิจทั้งหมด โดยหลักสูตรการเงินพื้นฐาน Finance for Entrepreneur by eddu จะได้เรียนเนื้อหาที่สำคัญ และนำไปใช้ได้จริง ได้แก่

เรียนหลักสูตรการเงินพื้นฐาน กับ คอร์ส Finance for Entrepreneur จาก eddu เพียงคอร์สเดียว ก็สามารถเปลี่ยนให้คุณสามารถทำธุรกิจ โดยใช้งบการเงินได้อย่างเข้าใจ และบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนก่อน รู้ก่อน กับ คอร์สเรียน finance ดีๆ เรียนง่าย เข้าใจเร็ว นำไปใช้ได้จริงแบบนี้ ต้องรีบสมัครกันด่วนๆ เลยนะ!

   เชื่อว่า หลายๆ คน พอเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานเป็นเวลานาน ก็อยากจะมีความรู้ ความสามารถเพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อที่จะนำความรู้มาต่อยอดและเติบโตในสายงานได้ สำหรับคนจบปริญญาตรีแทบจะทุกสาขา มักมีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากรู้หลักการตลาด อยากบริหารเป็น จึงมองหาที่เรียนในระดับปริญญาโท ด้าน MBA จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนใหญ่จะต้องเรียนถึง 2 ปี ถึงจะจบการศึกษา บางที่มีระบบ Fasttrack ก็สามารถเรียนเร็วได้ภายใน 1 ปี แต่กว่าจะจบนั้น ก็กินเวลาไปเยอะมาก เรามาดูกันว่า ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ตอนนี้ หันมาสนใจเลือกเรียน Shortcut Mini MBA กันเยอะมาก ด้วยระยะเวลาที่สั้นกว่า ทำให้ถึงเป้าหมายได้ไวกว่า เรามาดูกันว่าคอร์สเรียนนี้ เรียนอะไรบ้าง

ทำไมถึงควรเลือกเรียน Shortcut Mini MBA

เราไม่ได้บอกว่า การเรียน MBA ในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ดี เพราะการเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็เหมาะสำหรับคนที่มีเวลา อยากเรียนรู้เป็นขั้นตอน ตามกำหนดการศึกษา และสร้าง Connection กับเพื่อนในคลาส ต่อยอดธุรกิจร่วมกันได้ยาวๆ แถมความรู้แน่น ดูเป็นมืออาชีพ จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย และอยากนำไปปรับใช้กับการทำธุรกิจได้เลย การเลือกเรียน Shortcut Mini MBA ในระยะสั้น จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายนี้มากกว่า อีกทั้งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหลายแสนบาท เรียนในราคาสบายกระเป๋า แต่ความรู้ก็แน่นมากพอเช่นกัน ถ้าได้ลองมาเรียนกับ SHORTCUT MBA & MARKETING คอร์ส เรียน Shortcut MBA สรุป Mini MBA ใน 10 วัน จาก eddu เรียนเพียง 15 ชั่วโมง ก็เข้าใจการทำธุรกิจแล้ว อยากรู้แล้วใช่ไหม ว่าคอร์สนี้ดียังไง เรามาเจาะลึกหลักสูตร MBA ที่เรียนฉบับเร่งรัดนี้ไปด้วยกัน

เจาะลึก Shortcut Mini MBA by eddu

คอร์สนี้ เป็นคอร์สที่ย่อทุกอย่างของการเรียน MBA ตลอด 2 ปี พร้อมนำไปประยุกต์กับธุรกิจ ในรูปแบบการเรียนออนไลน์ ที่ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า หากเรียนแล้วเข้าใจ ก็เริ่มต้นทำธุรกิจได้เลย หรือใครที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว อยากบริหารธุรกิจได้อย่างถูกต้อง คอร์สนี้จะช่วยทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในแนวทางดำเนินธุรกิจ ไปด้วยกันทีละขั้นตอน ก่อนที่ทุกคนจะตัดสินใจลงเรียนคอร์ส Shortcut Mini MBA เดี๋ยวเราจะพาไปดูแต่ละบทเรียนกัน ว่าจะได้เรียนอะไรบ้าง รับรองว่า รู้แล้วจะอยากเรียนเลยทันที เพราะคอร์สได้ถูกออกแบบมาให้เรียนครบทุกองค์รวมเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น การสอนทำธุรกิจ การสอนทำการตลาด การสร้างแบรนด์ การวางแผนการเงิน ทุกธุรกิจสามารถเริ่มต้นได้ด้วย Model ธุรกิจแผ่นเดียวเท่านั้น!!

คอร์สนี้สอนโดย อาจารย์นพ พงศธร ธนบดีภัทร CEO & President ของ eddu และยังเป็นทั้งที่ปรึกษา อาจารย์พิเศษ วิทยากร ให้กับองค์กรชั้นนำมานับไม่ถ้วน โดยการสอนธุรกิจในคอร์สนี้ จะมีทั้งเนื้อหามาตรฐานสากลเกี่ยวกับ Business ที่อาจารย์นพได้เรียนมาจาก Harvard Business School (HBX), Harvard University และเนื้อหาใหม่ๆ ที่ทันสมัย เข้ากับการบริหารธุรกิจยุคปัจจุบัน เริ่มกันตั้งแต่ 

Chapter 1: Business Mindset 

EP:1 เริ่มต้นกับ MBA Introduction เข้าใจภาพรวมทั้งหมดที่จะได้เรียนในคอร์ส Shortcut MBA & Marketing สรุป Mini MBA ทุกอย่าง สำหรับการทำธุรกิจที่ทุกคนต้องรู้

EP: 2 Business Mindset แนะนำแนวคิดการทำธุรกิจ ผ่านการยกตัวอย่างต่างๆ ของบริษัท องค์กรที่ทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จมาก่อน

EP.3 การหาไอเดียธุรกิจ และหลักการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อเห็นโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ  ไม่ว่าจะเป็นการมองหาไอเดียทั้งหมดออกมาก่อนใน 20 นาที แล้วมาเลือกไอเดียที่ดีที่สุด การเริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ทำยังไงให้เป็นบริษัทที่ติดอันดับได้ รวมไปถึงดูไอเดียธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เช่น BOREERS, BLOCKBUSTER, Kodak, Fujifilm

EP.4 Age of Disruption การทำธุรกิจที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมาของ AI ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอนาคต ยกเคสบริษัท IBM ที่ใช้เทคโนโนโลยี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง

EP.5  Startup ฝึกคิดโปรเจคสตาร์ทอัพ ว่ามีแนวคิดไอเดียอยากทำธุรกิจอะไร เข้าใจการทำธุรกิจ Startup คืออะไร แนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจนี้ พร้อมยกเคสตัวอย่างธุรกิจสตาร์ทอัพ เช่น  Grab, Garena

EP.6 การกำหนดจุดยืนทางการตลาด สร้างการตลาดขึ้นมาใหม่ และมองคู่แข่งให้เป็น ว่าคู่แข่งทำอะไร และเราควรแตกต่างอย่างไร สร้างพื้นที่และกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจของเรากลายมีจุดยืนในตลาด

EP.7 Value ของการทำธุรกิจ ยกเคสตัวอย่างจากบริษัท Google สร้างธุรกิจอย่างไรให้มีคุณค่า น่าสนใจ สร้างแบรนด์ธุรกิจของเราให้โดดเด่น ด้วยวิธีการที่ไม่ได้มีแค่เงินลงทุน มีเคสตัวอย่างจาก Airbnb, Apple

EP.8 Ideation การหาไอเดียด้วยมุมมองต่างๆ ที่คนทำธุรกิจต้องรู้ สอนวิธีคิดอย่างไรธุรกิจปัง และเป็นไปได้ในธุรกิจมากที่สุด

Chapter:2 การหาไอเดียและการออกแบบธุรกิจ

EP.9 Business Model Canvas เปลี่ยนการเขียนโมเดลธุรกิจ 1 ปี ให้เหลือแค่ 1 วัน ด้วยแผนธุรกิจแบบกระชับ เข้าใจเร็ว สร้างไอเดียได้ง่ายขึ้น พร้อมทดลองเขียน Business Model ไปพร้อมกัน

EP.10 ตัวอย่างการเขียน Business Model Canvas จากบริษัทชั้นนำของโลก บริษัทดังๆ เค้าคิดและเขียนโมเดลธุรกิจกันอย่างไร

EP.11 Lean Canvas อีกหนึ่งโมเดลธุรกิจ ที่เอามาเสริมกับ Business Model Canvas โดยเพิ่มปัญหาที่ลูกค้าเจอ วิธีแก้ไข คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ ข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี และอื่นๆ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

EP.12 Value Proposition Canvas ถ้าโมเดลอื่นๆ ยากไป โมเดลนี้จะช่วยให้จัดการง่ายขึ้น โดยการมองหาความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ได้ตรงจุด

EP.13 สิ่งที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ Venture Capita เป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องรู้ เกี่ยวกับข้อสัญญาของผู้ถือหุ้นต่างๆ 

Chapter:3 การวิเคราะห์ธุรกิจตัวแปรสำคัญในการบริหารธุรกิจ

EP.14 วิธีรับมือข้อผิดพลาดที่มักเจอในการทำธุรกิจ ทำอย่างไรให้ธุรกิจผิดพลาดน้อยที่สุด แนวทางพิสูจน์ว่าธุรกิจจะไปได้ดีจริงไหม และยก Case จากหลายๆ แบรนด์ดัง

EP.15 และ Ep.16 วิธีตรวจสอบไอเดียธุรกิจ หรือ Validate Business Idea เพื่อมองหาไอเดียที่ใช่ที่สุดในการทำธุรกิจ

EP.17 เครื่องมือและตัวแปรสำคัญต่างๆ ที่ผู้ประกอบการต้องรู้จัก เพื่อนำไปบริหารบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีการแนะนำให้เข้าใจเครื่องมือที่ใช้วัดผลด้วย

EP.18 การเพิ่มทุนและเรื่องของการเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งจำเป็นต้องรู้ในการทำธุรกิจ เพื่อจัดการงบลงทุนต่างๆ ได้

EP.19 Type of funded project การระดมทุน เพื่อเห็นผลประโยชน์ที่ถูกต้อง และหานักลงทุนได้อย่างมืออาชีพ

EP.20 Learn Concept การลีนธุรกิจให้ลงตัว เพื่อหวังผลกำไรในอนาคต

EP.21 SWOT Analysis และตัวอย่างจากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ วิเคราะห์หากลยุทธ์ จุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ โอกาสในการเติบโต และอุปสรรคที่เจอ

EP.22 5 Forces Model และตัวอย่างการวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ของตัวเอง ผลกระทบมีอะไรบ้าง บริษัทสามารถเติบโตได้มากแค่ไหน 

EP.23 การวาง Positioning ของธุรกิจ ตรวจสอบคุณภาพของ Product ว่ามีจุดเด่นตรงไหน ราคาเท่าไหร่ และสามารถเอาแบรนด์ของตัวเองไปวางตลาดไหนได้บ้าง

Chapter:4 Marketing Part

EP.24 เจาะลึกวิวัฒนาการของการตลาด อะไรคือ Marketing เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ผ่านยุคไหนมาบ้าง จนถึงปัจจุบัน

EP.25 Branding การสร้างแบรนด์ สร้างตัวตนให้กับธุรกิจ ทำอย่างไรให้แบรนด์เติบโต เป็นที่น่าจดจำ 

EP.26 Digital Marketing มาดูว่าการตลาดดิจิทัลคืออะไร มีตำแหน่งไหนที่เกี่ยวข้องกับงาน Digital Marketing บ้าง และมีเครื่องมือและสื่อโซเชียลมีเดียอะไร ที่ต้องใช้สำหรับโปรโมทธุรกิจ

Chapter:5 Finance

EP.27 Personal Finance การวางแผนการเงิน ทำอย่างไรให้บริหารการเงินได้บรรลุเป้าหมาย ประเมินความเสี่ยงในการลงทุน และเข้าใจเรื่องภาษี

EP.28 Business Finance ดูแบบจำลอง CAPA ในการคำนวณหาอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ความรู้เกี่ยวกับภาษีธุรกิจ ประเภทของรายได้ การจ่ายค่าโฆษณา งบกระแสเงินสด 

EP.29 Finance Model การตั้งสมมุติฐานของโมเดลธุรกิจ การจัดงบประมาณต่างๆ ในธุรกิจ พาไปคำนวณต้นทุน กำไร และจำนวนที่ควรขายได้

ทั้งหมดนี้ รวมอยู่ในหลักสูตร Shortcut Mini MBA by eddu แล้ว เนื้อหาการเรียนเรียกได้ว่า อัดแน่น เรียนครบ เจาะลึกทุกการเรียนรู้ในหลักสูตร MBA ย่อมาให้หมด ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลาเรียนนาน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 2 ปี หลักสูตรเดียวที่จะปั้นให้คุณกลายเป็นมืออาชีพทางธุรกิจได้ ครบทุกทักษะการทำธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง มีเอกสารประกอบการเรียน และ Workshop ให้ฝึกทำ เรียนอย่างคุ้มค่า ในราคาไม่แพง จับต้องได้ พร้อมสู่การเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ได้แน่นอน

สัมผัสประสบการณ์ในการเรียนด้าน MBA แบบ Shortcut มาเรียนกับเราที่ eddu ได้เลย

ความฝันของใครหลายๆ คน คงไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือนกันไปตลอดจริงมั๊ย ส่วนใหญ่แล้ว ทำงานเก็บเงินได้สักระยะหนึ่ง ถ้ามีเงินทุนมากพอ ก็อยากจะคิดทำธุรกิจของตัวเอง ออกแบบวิธีการทำงานได้เองอย่างอิสระ เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องรอคำสั่งใคร แต่การทำธุรกิจให้เติบโตตั้งแต่ก้าวแรก ก็ไม่ใช่แค่คิดอยากทำ แล้วทำเลย โดยไม่ได้วางแผนธุรกิจที่ถูกต้อง บางคนอาจจะเริ่มต้นไม่ถูกด้วยซ้ำ ไม่รู้จะทำธุรกิจอะไร และทำอย่างไร เลยเลือกที่จะรอไปก่อน และไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน MBA ให้ได้ความรู้การบริหารธุรกิจ แล้วถึงคิดทำธุรกิจหลังเรียนจบ

แต่ปัจจุบัน โลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันทำให้ไม่สามารถมานั่งรอเวลา 2 ปีได้ กว่าจะเรียนจบ โอกาสทางธุรกิจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ เลยอยากเรียนการทำธุรกิจ ที่นำไปใช้ได้จริงและเรียนอย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจที่สนใจได้ ซึ่งคอร์สที่อยากแนะนำ และเป็นหลักสูตรเดียวในไทย สอนทุกอย่างเหมือนเรียน MBA โดยอาจารย์ผู้สอนที่เรียน MBA จากต่างประเทศมาจริงๆ พัฒนาหลักสูตร จนกลายมาเป็น SHORTCUT MBA & MARKETING คอร์ส เรียน Shortcut MBA สรุป Mini MBA ใน 10 วัน จาก eddu เรียนเพียง 15 ชั่วโมง ก็เข้าใจการทำธุรกิจแล้ว 

ดังนั้น เรามาดูกันว่า เรียนปริญญาโท MBA หรือ เรียนคอร์ส MBA เพื่อธุรกิจ ควรเลือกแบบไหนดี สำหรับคนที่กำลังลังเลอยู่

เลือกเรียนปริญญาโท MBA ดีอย่างไร

ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องผิด หากบางคนจะมีความตั้งใจที่จะเรียนต่อปริญญาโททางด้าน MBA เพราะการเรียนแบบเต็มรูปแบบในมหาวิทยาลัย ทำให้ได้เจอสังคม MBA ด้วยกันตลอดระยะเวลาเรียน 2 ปี และหลายคนก็ตั้งใจ อยากจะได้ดีกรี จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน เป็นเกียรติและความภาคภูมิใจ เมื่อเรียนจบ แถมยังเอาไปใส่พอร์ตยื่นสมัครงานอัพเงินเดือนต่อไปได้ รวมถึงการทำธุรกิจเอง ซึ่งข้อดีของการเรียนปริญญาโท MBA ก็มีไม่น้อย ได้แก่

สำหรับการเรียนปริญญาโท MBA เหมาะกับคนที่มีเวลาเรียนจริงๆ หรือแบ่งเวลาจากการทำงาน มาเรียนได้ โดยไม่กระทบกับการทำงาน  แต่บางคนที่พยายามมาเรียนและทำงานอย่างหนักด้วย อันนี้อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ สมาธิในการเรียนอาจจะน้อยลง และมีเวลาการใช้ชีวิตน้อย จึงไม่เหมาะกับคนที่อยากทำธุรกิจเร็ว เพราะการเรียน MBA จะต้องเสียเวลาในการทำวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ เพื่อส่งเล่มจบ ซึ่งจะใช้เวลานาน บางคนอาจเสียทั้งเวลา และเสียโอกาสทางธุรกิจไป หากต้องมาเรียนปริญญาโท MBA ถึง 2 ปี (ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ว่าสะดวกเรียน MBA หรือไม่)*

เลือกเรียน คอร์ส MBA เพื่อธุรกิจ ดีอย่างไร

สำหรับคนที่มีเวลาน้อย และอยากเริ่มต้นธุรกิจรวดเร็ว เข้าใจในวิธีการทำธุรกิจ อาจจะต้องมาเลือกเรียนในแบบที่สอง นั่นก็คือ คอร์ส MBA เพื่อธุรกิจ ซึ่งหลักสูตร ก็จะย่อมาเป็น Mini MBA ส่วนใหญ่หลายมหาวิทยาลัย ก็เริ่มมีคอร์ส Mini MBA เช่นกัน แต่อาจจะได้เรียนเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แต่หากใครอยากเรียนเกี่ยวกับธุรกิจแบบจัดเต็ม SHORTCUT MBA & MARKETING คอร์ส เรียน Shortcut MBA จาก eddu ก็เตรียมมาให้ครบทุกองค์ประกอบ เหมือนได้เรียนปริญญาโท MBA มาจริงๆ เรียนรู้การทำธุรกิจได้เลย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งทำวิทยานิพนธ์ เมื่อเรียนจบทั้งหมด 15 ชั่วโมง ก็สามารถนำความรู้ไปทำธุรกิจอย่างถูกต้องได้ ข้อดีของการเรียนคอร์ส Shortcut Mini MBA เพื่อธุรกิจ คือ

จะเห็นได้ว่า คอร์ส MBA แบบ Shortcut ก็มีจุดเด่นไม่น้อย เหมาะกับคนอยากเรียนรู้ไวจริงๆ คนที่เริ่มต้นธุรกิจ หรือมีธุรกิจอยู่แล้ว อยากนำไปพัฒนา ก็ใช้เวลาเรียนไม่นาน พร้อมรับใบ Certificate รับรองหลังเรียนจบจากสถาบัน eddu อีกด้วย 

ทำไมต้องเลือกเรียน คอร์ส Shortcut Mini MBA by eddu

เนื่องจากคอร์สนี้ ออกแบบมาเพื่อคนอยากทำธุรกิจ แต่จับต้นชนปลายไม่ถูก กลัวลงทุนแล้วจะเสียเปล่า คอร์ส Shortcut Mini MBA เลยนำเนื้อหาจากการเรียน MBA มาย่อยเป็นหัวข้อที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ผู้เรียน จะได้เรียนรู้อย่างมืออาชีพ กับ อ.นภ พงศธร ธนบดีภัทร CEO & President ของ eddu และยังเป็นทั้งที่ปรึกษา อาจารย์พิเศษ วิทยากร ให้กับองค์กรชั้นนำมานับไม่ถ้วน โดยการสอนธุรกิจในคอร์สนี้ จะมีทั้งเนื้อหามาตรฐานสากลเกี่ยวกับ Business ที่อาจารย์นพได้เรียนมาจาก Harvard Business School (HBX), Harvard University และเนื้อหาใหม่ๆ ที่ทันสมัย เข้ากับการบริหารธุรกิจยุคปัจจุบัน 

เนื้อหามีตั้งแต่ ทำความรู้จักกับ MBA เข้าใจภาพรวมทั้งหมด แนวคิดการทำธุรกิจ การหาไอเดียธุรกิจ การวิเคราะห์ปัญหา การฝึกคิด Project ธุรกิจ การสร้างจุดยืนของแบรนด์ในตลาด การสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ พร้อมการฝึกทำ Business Model Canvas, Lean Canvas กลยุทธ์ในการทำธุรกิจในรูปแบบต่างๆ วิธีการตรวจสอบ การวัดผล ความรู้ในการทำธุรกิจที่ต้องรู้ทุกด้าน การตลาดดิจิทัล การสร้างแบรนด์ การวางแผนการเงิน Finance เพื่อการทำธุรกิจ มีเอกสารประกอบการเรียน และ Workshop ในคอร์ส เรียนแบบออนไลน์ แต่เหมือนนั่งเรียนจากในห้องเรียน แต่ละบทใช้เวลาไม่นาน ฟังแล้วได้ความรู้ในการทำธุรกิจไปเต็มๆ เลยทีเดียว 

หากหลักสูตร Shortcut MBA เป็นคอร์สที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจของคุณ อย่าลังเล เลือกเรียนคอร์สนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐาน และต่อยอดการทำธุรกิจครบทุกด้าน จนเป็นมืออาชีพในการออกแบบธุรกิจได้ แล้วมาพบกันกับ SHORTCUT MBA & MARKETING คอร์ส เรียน Shortcut MBA จาก eddu สมัครเลย!

เข้าสู่ปี 2024 กันแล้ว หลายคนที่สนใจด้านธุรกิจ และมีความฝันอยากเรียน MBA  ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ก็คงมองหาที่เรียน MBA ของต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกเรียนที่ไหนดี หลักสูตรของสถาบันไหนที่ตอบโจทย์ ประเทศไหนที่ไปเรียนแล้วใช่ที่สุด ในบทความนี้ เราจะมาแจก 30 สถาบันเรียน MBA ระดับโลก อัพเดตปี 2024 กัน

1. Stanford Graduate School of Business สหรัฐอเมริกา

คงไม่ใครไม่รู้จักมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกอย่าง Stanford Graduate School of Business ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เด่นมากด้านการบริหารธุรกิจ รู้จักกันดีในด้านนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ ตั้งอยู่เมืองสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย ถ้าอยากเรียน MBA ต้องเตรียมตัวสุดๆ เข้ายาก แต่จบมาคุณภาพระดับโลกเลยทีเดียว

2. The Wharton School of the University of Pennsylvania สหรัฐอเมริกา

เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งที่นี่เรียกได้ว่า เป็นโรงเรียนธุรกิจที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีหลากหลายหลักสูตรให้เลือกเรียน โดยเฉพาะ MBA ที่โดดเด่น รวมไปถึง Executive MBA ด้วย

3. Harvard Business School สหรัฐอเมริกา

จัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับต้นๆ ของโลก นักธุรกิจที่มีชื่อเสียงไปเรียนกันเยอะมาก ตั้งอยู่ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ Harvard Business School ได้รับการจัดอันดับให้โรงเรียนธุรกิจที่มีคุณภาพของโลกทุกปี เปิดสอนหลักสูตร MBA ที่โดดเด่น ขึ้นชื่อว่า Havard จบแล้วการันตีทำงานที่ไหนก็ได้ในโลกนี้

4. London Business School อังกฤ

เป็นสถาบันสอนธุรกิจในเครือข่ายของ University of London ตั้งอยู่ที่รีเจนท์ พาร์ค กรุงลอนดอน มีนักศึกษาจบหลักสูตรบริหารธุรกิจ MBA เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาเรียนแค่ 15-21 เดือน มี MBA คุณภาพหลากหลายแขนงให้เลือกเรียนตามความสนใจ จบดีกรีถึงประเทศอังกฤษเชียวนะ

5. HEC Paris ฝรั่งเศส

เป็นสถาบันด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส และติดอันดับต้นๆ ของโลก นักศึกษาต่างชาติที่ชอบวัฒนธรรมของฝรั่งเศส และได้เรียนหลักสูตร MBA ใจกลางกรุงปารีส ก็นิยมเข้ามาเรียนที่นี่กัน มีระบบการศึกษาที่ดีมาก และยังมีทุนการศึกษาแจกให้คนเรียนดีทุกปี

6. MIT Sloan สหรัฐอเมริกา

เป็นมหาวิทยาลัยที่รู้จักกันดีในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ แต่ MIT ก็ไม่แพ้ใครในด้านบริหารธุรกิจและการจัดการ มาเรียน MBA ที่นี่ ได้ความรู้ด้านธุรกิจแน่นๆ กลับไปแน่นอน

7. Columbia Business School สหรัฐอเมริกา

เป็นโรงเรียนสอนธุรกิจ ที่มุ่งเน้นด้านการเงินและธุรกิจระดับโลก ตั้งอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ รัฐนิวยอร์ก Columbia Business School เปิดสอนหลักสูตรอันหลากหลาย ทั้ง MBA, Executive MBA และหลักสูตรปริญญาเอก เป็นสถาบันหนึ่งที่น่าสนใจ และมีคุณภาพเป็นที่รู้จักทั่วโลก

8. IE Business School สเปน

ถ้าชอบวัฒนธรรมแบบยุโรป ต้องมาเรียน MBA ในมหาวิทยาลัยนานาชาติชั้นนำของสเปน กับ IE Business School ที่มีสภาพแวดล้อมในการเรียนทั้งธุรกิจ ผสมผสานไปกับเทคโนโลยี ส่งเสริมแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการ ที่ใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนองค์กร

9. Cambridge Judge Business School อังกฤษ

เป็นโรงเรียนสอนด้านธุรกิจ ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงด้านวิชาการมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีหลักสูตร MBA ที่ได้รับการจัดอันดับ และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก หลักสูตรมีชื่อเสียง เหมาะกับคนอยากทำธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูง

10. IESE Business School สเปน

โรงเรียนด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงของประเทศสเปน ตั้งอยู่ที่กรุงมาดริด บาร์เซโลนา มีให้เลือกเรียนทั้ง MBA สำหรับผู้บริหาร และ หลักสูตร MBA สำหรับผู้ประกอบการ  สถาบันแห่งนี้มีคุณภาพติด 1 ใน 10 ของโลกเลยทีเดีย

11. INSEAD ฝรั่งเศส

เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเก่าแก่ของฝรั่งเศส เปิดสอน ในหลักสูตร MBA, Executive MBA (EMBA), รวมไปถึงคอร์สเรียนธุรกิจขั้นพื้นฐานสำหรับนักศึกษาปริญญาโทและหลักสูตรสำหรับผู้บริหารหรือผู้ที่สนใจทางด้านธุรกิจอื่นๆ  โดยหลักสูตรที่โดดเด่น ก็คือโปรแกรม MBA ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผลิต CEO ของบริษัทใหญ่ๆ กว่า 500 บริษัททั่วโลก 

    12. Northwestern (Kellogg) สหรัฐอเมริกา

    เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเมืองเอแวนสตัน และเมืองชิคาโก ของรัฐอิลลินอยส์ มีชื่อเสียงหลากหลายด้าน โดยเฉพาะด้านบริหารธุรกิจ มีหลักสูตร MBA ที่นักศึกษาสามารถจบได้ภายใน 1 ปี เป็นอีกทางเลือกของ MBA หลักสูตรคุณภาพ

    13. UC Berkeley (Haas) สหรัฐอเมริกา

    เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเมือง Berkeley รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งในปี 1868 และเปิดสอนหลักสูตร MBA มายาวนาน ใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี การเรียนการสอนคุณภาพ ได้รับการยอมรับว่า สร้างผู้นำด้านธุรกิจมาแล้วมากมาย

    14. University of Chicago Booth School of Business สหรัฐอเมริกา

    เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งอยู่ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ โรงเรียนก่อตั้งในปี 1898 เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริกา มีหลักสูตร MBA สำหรับผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจศึกษาต่อ ทั้งหลักสูตรเต็มเวลา และนอกเวลา

    15. UCLA Anderson School of Management สหรัฐอเมริกา

    เป็นมหาวิทยาลัยในสาขาธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองลอสแอนเจลิส ได้รับการยอมรับและยกย่องทั่วโลก ในหลักสูตรด้านบริหาร มีหลักสูตร MBA แบบเต็มเวลา MBA สำหรับผู้บริหาร และ EMBA สำหรับทั่วโลก

    16. Yale School of Management สหรัฐอเมริกา

    เป็นโรงเรียนสอนธุรกิจ ในเครือ Yale University เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเมืองนิวฮาเวน รัฐคอนเนตทิคัต มีชื่อเสียงหลากหลายสาขา โดยเฉพาะ MBA ที่ส่งเสริมความรู้ให้เป็นนักบริหารมืออาชีพได้

    17. NYU Stern School of Business สหรัฐอเมริกา

    เป็นโรงเรียนสอนธุรกิจ ที่ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก มีหลักสูตร MBA ที่โดดเด่น และค่อนข้างเปิดกว้าง สอนให้รู้จักเห็นความแตกต่าง และยอมรับซึ่งกันและกัน แม้จะต่างที่มาและวัฒนธรรม ทำให้เป็นสถาบันที่ชาวต่างชาติสนใจมาเรียน MBA กันเยอะ

    18. Saïd Business School, Oxford อังกฤษ

    เป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่เปิดสอนด้านธุรกิจ มีหลักสูตร MBA ซึ่งมุ่งเน้นไปที่งานวิจัยและการศึกษาแบบสหวิทยาการ ผสมผสานระหว่างความรู้ด้านธุรกิจ และสาขาวิชาอื่นๆ ที่สนใจ เรียนควบคู่กันได้ ที่นี่มีชื่อเสียงระดับโลก และสร้างผู้ประกอบการมาแล้วนับไม่ถ้วน

    19. ESADE Business School สเปน

    เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน มีหลักสูตร MBA ที่เปิดมายาวนาน มีหลักสูตรสำหรับผู้บริหาร และยังสร้างผู้นำรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับกรอบเดิม สำหรับคนที่มาเรียนไม่ต้องรู้ภาษาสเปนก็ได้ เพราะที่นี่ใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษ

    20. Imperial College Business School อังกฤษ

    เป็นโรงเรียนสอนธุรกิจที่ติดอันดับชั้นนำของโลก มีหลักสูตร MBA ที่ติด 1 ใน 10 ของยุโรป และเด่นในด้าน MBA Finance ซึ่งติด 1 ใน 10 ของโลกเช่นกัน ใครที่อยากเรียน MBA ด้านการเงิน ลองมาเรียนที่นี่ได้เลย สถิติที่จบไป ส่วนใหญ่ได้เป็นประธานบริษัท ผู้บริหาร ผู้จัดการกันเยอะ

    21. National University of Singapore (NUS) สิงคโปร์

    มาฝั่งเอเชียกันบ้าง ถ้าไม่อยากบินไปเรียนไกล  MBA ของสิงคโปร์ ก็เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกเช่นกัน และดีที่สุดในทวีปเอเชียด้วย ซึ่งหลักสูตรธุรกิจของที่นี่ เรียบแบบเข้มข้น มุ่งเน้นการวิจัย และชื่อเสียงด้านการสอนที่เชื่อถือได้ เน้นผลสำเร็จของผู้เรียนเป็นหลัก

    22. Tsinghua University จีน

    เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศจีน ก่อตั้งในปี 1911 และ MBA ของที่นี่ ก็มีชื่อเสียงในระดับโลก ออกแบบมาเพื่อผลิตผู้นำทางด้านธุรกิจ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการบริหาร สอนแนวคิดแบบสากล ผสมผสานกับรากเหง้าของจีน และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่รองรับหลากหลายวัฒนธรรม

    23. Nanyang Technological University สิงคโปร์

    มหาวิทยาลัยชื่อเสียงติดอับดับโลก สถาบันนี้ เน้นงานวิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับอุตสาหกรรมรายใหญ่ๆ และส่งออกนักศึกษาไปทำงานได้ทั่วโลก หลักสูตร MBA ของที่นี่ มีคุณภาพสูงไม่แพ้ที่ไหน ได้รับการจัดอับดับและเป็นที่ยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำ

    24. University of Hong Kong ฮ่องกง

    เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของฮ่องกง มีชื่อเสียงในด้านวิชาการ และอาจารย์หลากหลายชาติทั่วโลก ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ต่างวัฒนธรรม โดยเฉพาะหลักสูตร MBA ที่มีนักศึกษาจากทั่วโลกมาเรียน สร้างผู้บริหารและผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ

    25. China Europe International Business School จีน

    เป็นมหาวิทยาลัย ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลจีนและสหภาพยุโรป (EU) ในปี 1994 เปิดสอนหลักสูตรทั้ง MBA, Finance MBA, EMBA, Global EMBA, Hospitality EMBA, Executive Education และ Ph.D. เป็นโรงเรียนธุรกิจแห่งแรกในจีนที่ขึ้นชื่อในด้านวิชาการ ได้รับการรับรองจากทั้ง EQUIS และ AACSB มีชื่อเสียงทั้งในเอเชียและระดับโลก

    26. Indian Institute of Management–Bangalore อินเดีย

    มาทางฝั่งอินเดีย เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ที่บังกอร์ ขนาดของมหาวิทยาลัยไม่ใหญ่มาก แต่นักเรียนต่างชาติเยอะ เน้นการสอนด้านบริหารธุรกิจและ MBA โดยใช้หลักสูตรการบริหารจากประเทศอังกฤษ และยังได้รับปริญญาจากทางอังกฤษ ของ University of the West of Scotland ด้วย 

    27. Rotman School of Management แคนาดา

    มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่โตรอนโต แคนาดา ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้าน MBA ของแคนาดา และยังใกล้กับย่านการเงินของโตรอรโต ตารางเรียนที่นี่ยืดหยุ่น แต่มีคุณภาพ สามารถบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้จนสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    28. Melbourne Business School ออสเตรเลีย

    เป็นโรงเรียนสอนด้านธุรกิจ ตั้งอยู่ที่เมืองเมลเบิร์น ในออสเตรเลีย และเป็นแห่งแรกในออสเตรเลีย ที่เปิดสอนหลักสูตรทางด้าน MBA และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สถาบันมีความโดนเด่นในโลกธุรกิจ และมีคุณภาพสูง มีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยเสมอ

    29. EGADE Business School เม็กซิโก

    สถาบันฝั่งละตินอเมริกา ก็ไม่แพ้กัน สถาบันนี้อยู่ที่ประเทศเม็กซิโก มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วโลกด้านธุรกิจ มีหลักสูตร MBA แบบเต็มรูปแบบ และหลักสูตรออนไลน์ เป็นโรงเรียนธุรกิจอันดับต้นๆ ของโลกที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาคนให้เป็นผู้บริหารระดับสูงได้

    30. Macquarie University ออสเตรเลีย

    มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองซิดนีย์ มีชื่อเสียงทางด้านการสอนธุรกิจ และหลักสูตร MBA ถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของออสเตรเลีย มีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญสอนธุรกิจโดยตรง และเป็นยอมรับกันทั่วโลก ว่าเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ พัฒนาคนสู่นักบริหารได้

    เป็นยังไงกันบ้างกับทั้ง 30 มหาวิทยาลัยด้าน MBA ระดับโลกที่เอามาฝากกัน สนใจเรียนที่ประเทศไหน ลองเข้าไปศึกษาดูรายละเอียดและเตรียมตัวให้พร้อม แต่สำหรับใคร ที่อยากเรียน MBA แบบ Shortcut ระยะสั้น เรียนกระชับ เข้าใจเร็ว และนำไปประยุกต์กับธุรกิจได้จริง ที่ eddu เรามีคอร์ส SHORTCUT MBA & MARKETING สรุป Mini MBA ใน 10 วัน เรียนเพียง 15 ชั่วโมง ก็เข้าใจการทำธุรกิจแล้ว สอนโดยอาจารย์ที่จบจาก Harvard Business School (HBX), Harvard University โดยตรง ได้เรียนรู้ไม่ต่างจากการไปเรียน MBA ที่ต่างประเทศแน่นอน 

    ถ้าคุณคือเจ้าของธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าที่ต้องการให้ยอดขายติดเพดาน บทความนี้จะไม่ใช่บทความที่คุณต้องการ เเต่ถ้าคุณคือเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าที่อยากให้ยอดขายของคุณโตขึ้นไปมากกว่าเดิม บทความนี้จะเเนะนำวิธีการใช้ Data เเบบที่คุณเองก็เริ่มทำได้

    การทำธุรกิจต่างก็มีปัญหาในการเพิ่มยอดขาย เเละยังเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาวิธีเเก้ไข เพื่อให้ยอดขายของคุณไม่ติดเพดาน เเล้วจะมีวิธีไหนที่สามารถทำให้ยอดขายของคุณโตขึ้นเรื่อยๆ จาก 1 จนถึง 10 เท่าได้

    ผมเชื่อครับว่าคุณที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า หรือเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าต่างก็มีสินค้าที่ดีเเละต้องการนำเสนอขายให้กับลูกค้า เเต่ต้องอย่าลืมนะครับว่า ในปัจจุบันนี้สินค้าที่ดีอย่างเดียวไม่พอกับการชนะใจลูกค้า เพราะลูกค้ามีทางเลือกมากมายเพียงเเค่ลูกค้าของคุณใช้มือถือ 1 เครื่อง ก็สามารถเข้าถึงร้านขายเสื้อผ้าได้อีกหลายร้าน

    แล้วต้องทำอย่างไรเพื่อให้คุณสามารถชนะใจลูกค้าได้?

    คุณที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือเจ้าของธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าที่กำลังหาอีกหนึ่งวิธีในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณ “Data” จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้คุณสร้างยอดขายที่มากกว่าเดิม เพราะ Data คือ ข้อมูลที่เป็นความจริง ที่จะซัพพอร์ตความรู้สึกของคุณ ว่าสินค้าของคุณดีในสายตาลูกค้ามากเเค่ไหน หรือ ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ใช่หรือไม่

    เพราะ ถ้าคุณอยากจะชนะใจลูกค้า คุณต้องรู้จักลูกค้าหรือคนที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณให้มากพอ เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าของคุณเกิดความประทับใจ และกลับมาซื้อกลับคุณอีกครั้ง เพราะในทางการตลาดเเล้วค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าในการรักษาลูกค้าเดิมมากๆ ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการที่จะทำธุรกิจด้วยการใช้ Data หรืออยากที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรเเล้วเกิดความเสี่ยงน้อยลง มาพบกันได้ในงาน Data Driven Strategy หลักสูตรสำหรับเจ้าของธุรกิจที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีใช้ Data ให้ธุรกิจคุณ

    ในบทความนี้จะมายกตัวอย่าง Data ทั้ง 5 ตัว ที่คุณเองก็สามารถเริ่มเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ได้ตั้งเเต่ตอนนี้ เพื่อเป็นเเนวทางในการปรับใช้ให้กับคุณว่าธุรกิจร้านอาหารควรเก็บข้อมูลยังไงบ้าง

    1. Awareness คือการรับรู้ของลูกค้า เป็นการที่คุณจะต้องรวบรวมข้อมูลเเล้วนำมาตอบให้ได้ว่า ลูกค้าของคุณรู้จักได้อย่างไร รู้จักเเบรนด์ของคุณผ่านช่องทางไหน เพื่อให้คุณสามารถรู้ถึงวิธีการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของคุณได้มากขึ้น และสามารถต่อยอดได้ไปจนถึงการสร้างเเบรนด์เพื่อให้ลูกค้าจำเเบรนด์ของคุณได้

    2. จำนวนลูกค้าของคุณ คุณจำเป็นที่ต้องรู้ว่าลูกค้าของคุณมี่กี่คน ใน 1 วันมีคนสนใจเสื้อผ้าหรือสินค้าที่คุณขายมากน้อยขนาดไหน จนถึงคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าจากคุณ เพราะจำนวนของลูกค้าในเเต่ละวันจะเป็นตัวเลขที่บอกคุณรู้ถึงเเนวโน้มของธุรกิจคุณได้

    3. การชำระเงินต่อครั้ง เป็นการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าว่า ลูกค้าของคุณจะจ่ายเงินให้กับสินค้าเเบบไหน และไม่เพียงเท่านั้นคุณจะสามารถรู้ได้ด้วยว่า มูลค่าของสินค้าที่ลูกค้ารับรู้ได้ กับการตั้งราคาของคุณเหมาะสมกันมากน้อยเเค่ไหน เพียงเเค่คุณรู้ในจุดนี้คุณจะสามารถรู้ได้ว่าคุณต้องตั้งราคาเเบบไหน เพื่อให้ลูกค้าของคุณซื้อสินค้าจากคุณเพิ่มมากขึ้น

    4. การสร้างโอกาสให้ซื้อซ้ำ ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจมากๆ ข้อมูลในส่วนนี้คือข้อมูลที่จะบอกคุณว่า ทำไมลูกค้าถึงกลับมาซื้อซ้ำ และจะเป็นเเนวทางให้กับคุณว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้ลูกค้าของคุณกลับมาซื้อสินค้ากับคุณอีก

    5. จำนวนสต๊อกสินค้า คุณจำเป็นต้องมีข้อมูลของสินค้าทั้งหมด คุณขายได้หรือรับมามากน้อยเเค่ไหน เพื่อให้คุณสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้กับการจัดการระบบหลังบ้านได้ เพราะคุณต้องอย่าลืมว่าการทำธุรกิจที่ระบบหลังบ้านไม่ดี ย่อมส่งผลต่อระบบหน้าบ้านของธุรกิจ

    เเละนี่เป็นเพียงตัวอย่างข้อมูลส่วนหนึ่ง ที่คุณสามารถนำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจได้ เเต่ทั้งหมดนี้การที่จะเลือก Data ส่วนไหนมาใช้ก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคุณ

    การทำธุรกิจในยุคนี้ อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรื่องของการทำราคาที่ดีกว่าหรือถูกว่าเสมอไป เเต่มันอยู่ที่คุณรู้จักลูกค้าของคุณ ได้มากหรือน้อยขนาดไหนเพราะถ้าคุณรู้จักลูกค้าของคุณมากพอคุณก็จะมีโอกาสที่จะชนะใจลูกค้าได้มากตาม เเล้วถ้าคุณอยากรู้เพิ่มเติมว่า Data มีผลต่อการเพิ่มยอดขายให้คุณได้มากเเค่ไหน คุณสามารถมาเรียนรู้ได้ในงาน Data Driven Strategy หลักสูตร Data สำหรับเจ้าของธุรกิจที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีใช้ Data ให้ธุรกิจของคุณสร้างรายได้ที่มากขึ้น จาก 1 จนถึง 10 เท่า

    คลิกเพื่อรับรายละเอียดเพิ่มเติม

    สำหรับการทำธุรกิจความงามเเล้ว ต่อให้มีเครื่องมือดีมากขนาดไหน หรือมีสินค้าเเละการบริการที่ดีมากก็ตาม เเต่ถ้าคุณไม่สามารถที่จะสื่อไปถึงลูกค้าที่จะมาใช้การบริการของคุณได้เลย ก็ไม่ต่างกับการที่คุณกำลังลงทุน ลงเเรงทำธุรกิจ เเบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย

    ในตอนนี้ที่ธุรกิจความงามมีการเเข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่มีการเเข่งขันสูงเเบบนี้ ?

    👉 Data จึงเป็นคำตอบหนึ่งของคำถามนี้ เพราะในปัจจุบันธุรกิจต้องใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนเพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เพราะ Data คือสิ่งที่จะทำให้คุณที่ทำธุรกิจด้านความงาม รู้จักลูกค้าของคุณได้จริงๆ

    ยิ่งคุณมี Data มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้จักลูกค้าที่จะมาใช้บริการของคุณมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าคุณไม่รู้จักลูกค้าของคุณเลย ถือว่าเป็นเรื่องยากมากๆ ที่คุณจะทำธุรกิจในยุค Digital เเบบนี้

    ซึ่งการที่จะเลือกใช้ Data ทั้ง 5 ตัวนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจด้วย ว่าคุณต้องการข้อมูลเเบบไหน แต่วันนี้จะมายกตัวอย่างให้ดูว่าคลินิกเสริมความงามควรเก็บข้อมูลอะไรบ้าง

    1.Awareness คือการรับรู้ของลูกค้า คุณต้องรู้ว่าเมื่อพูดถึงแบรนด์ของคุณ ลูกค้ารู้จักในทันทีเลยหรือเปล่า ซึ่งสำหรับ Data ในส่วนนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจในการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ ว่าควรลงทรัพยากรในการทำเพิ่มขึ้นหรือลดลง

    2.จำนวนผู้ใช้บริการ สำหรับ Data ตัวนี้จะทำให้คุณรู้ว่า ในแต่ละวันแต่ละเดือนหรือแต่ละปี คุณมีลูกค้าของคุณมากน้อยเท่าไหร ซึ่งมันสามารถนำมาใช้พิจารณาในการปรับปรุงการบริการ, การทำการตลาด, บรรยากาศในร้าน ฯลฯ

    3.การชำระต่อรอบบริการ สำหรับ Data ตัวนี้จะช่วยให้คุณเห็นพฤติกรรมของลูกค้าในการซื้อบริการของคุณ คุณสามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนากระบวนการในการ Upsell ได้ และนอกจากนี้มันยังช่วยกรองเกรดลูกค้าให้คุณ เพื่อใช้ในการทำ CRM ได้

    4.อัตราการเลิกใช้ คือการที่คุณต้องหาข้อมูลที่จะทำให้ลูกค้าสนใจใช้บริการคุณอีกครั้ง เพื่อเป็นการลดโอกาสที่คุณจะเสียลูกค้า เช่นคุณต้องรู้ว่าทำไมลูกค้าถึงเลิกใช้บริการ หรือทำไมถึงใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับใช้ให้ธุรกิจของคุณสามารถดึงลูกค้าให้กลับมาใช้บริการได้อีก

    5.Retention คือการที่คุณต้องหาข้อมูลที่จะทำให้ลูกค้าเลือกที่จะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง เป็นการสร้างอัตราการซื้อซ้ำให้กับธุรกิจ เช่น การนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าสนใจจริงๆ นี่คือจุดหลักสำคัญของ Retention คุณจะต้องมีข้อมูลของลูกค้าที่ใช้บริการ เพื่อที่จะทำให้เกิด Retention ขึ้นมาได้

    👉 จะเห็นได้ว่า 5 ข้อมูลนี้คุณจะสามารถหาได้ตั้งเเต่ที่คุณเริ่มมี ลูกค้าคนเเรกที่มาใช้บริการกับธุรกิจของคุณ ถ้าคุณรวมรวบข้อมูลเหล่านี้จนมีมากพอ คุณจะสามารถรู้ได้ว่า กลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร มีความต้องการเเบบไหน เเละอีกหลายสิ่งที่ข้อมูลจะทำได้ เพื่อให้คุณได้เปรียบมากกว่า และชนะใจลูกค้าของคุณได้ดีกว่า

    ถ้าคุณคือผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจคลินิก ที่อยากรู้ข้อมูลทั้ง 5 ตัวมากกว่านี้ จนไปถึงต้องการรู้ว่าเก็บ Data เเบบไหนถึงจะดี แล้วต้องนำ Data ที่มีมาใช้ประโยชน์เเบบไหนเพื่อให้ดีกับธุรกิจของคุณจริงๆ คุณสามารถมาเรียนรู้เพิ่มเติมได้ในคอร์สสด Data Driven Strategy หลักสูตรที่จะช่วยให้คุณใช้ Data ขับเคลื่อนธุรกิจคุณเเบบก้าวกระโดด

    คลิกเพื่อรับรายละเอียดเพิ่มเติม

    หลักการในการทำธุรกิจในโลกนั้นมีมากมาย มีหลากหลายล้านเรื่องราวที่ให้ได้เรียนรู้ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่คุณทำอยู่หรือขนาดของธุรกิจของคุณ ฯลฯ แต่ไม่ว่าคุณจะศึกษาข้อมูลมาจากที่ไหนหรือว่าจะอ่านตำรามาสักกี่เล่ม แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำธุรกิจต้องมีเพียง 5 พื้นฐานนี้

    ซึ่งเราจะช่วยสรุปสิ่งที่คุณควรโฟกัสในการทำธุรกิจและช่วยให้คุณทบทวนว่าคุณบริหารธุรกิจได้ดีแล้วหรือยัง

    👉 การบริหารจัดการ

    การวางระบบ คือหนึ่งในการบริหารจัดการซึ่งเปรียบเสมือนการวางกระดูกสันหลังให้กับธุรกิจ ในวันที่คุณเริ่มธุรกิจคุณอาจเริ่มต้นมาด้วยตัวคนเดียวหรือเริ่มมาด้วยทีมเล็ก ๆ ซึ่งการบริหารจัดการระบบคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร เพราะระบบก็คือตัวคุณเอง

    แต่เมื่อวันที่ทีมของคุณขยายใหญ่ขึ้นคุณจะมีเรื่องให้บริหารจัดการเยอะขึ้น เชื่อได้ว่าคงมีเรื่องไม่น้อยที่จะทำให้คุณปวดหัวกับการบริหารจัดการและปล่อยมือกับสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะเกิดมาจากคุณวางระบบเป็นตัวเอง

    หากคุณทำธุรกิจพร้อมกับวางระบบให้กับทุกเรื่อง เช่น ระบบการวัดการวัดผล คุณก็รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรและจะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หรือระบบเรื่องของคน คุณก็จะได้คนที่ทำงานตรงกับความต้องการของคุณ ฯลฯ

    👉 การตลาด

    คงมีหลาย ๆ ท่านที่กำลังทำธุรกิจและสนใจในเรื่องของการตลาดเป็นพิเศษ เพราะเป็นวิธีที่ทำให้คนรู้จักและช่วยหาเงินให้กับธุรกิจของคุณ หลาย ๆ คนอาจคิดว่าการทำการตลาดนั้นจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อที่จะช่วยดึงดูดให้มีลูกค้าเข้ามา ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ผิด

    แต่นอกจากความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องมีแล้วสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือสิ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า ต่อให้คุณสรรค์สร้างโฆษณาที่สร้างสรรค์เพียงใด แต่หากไม่ตอบโจทย์กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ เขาก็คงเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมผลงานโฆษณาที่สร้างสรรค์ของคุณเพียงเท่านั้นแต่ไม่ใช่คนที่จะเป็นลูกค้าของคุณ

    👉 การสร้างแบรนด์

    ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญและถูกพูดถึงอยู่บ่อย ๆ เพราะ Branding เปรียบเสมือน จุดยืน บุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ และความเป็นตัวตนของแบรนด์ ซึ่งเหมือนเป็นการสื่อสารคุณค่าและภาพลักษณ์ของแบรนด์ออกไปให้ผู้คนได้รับรู้

    การสร้างแบรนด์มีเป้าหมาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ผู้คนจดจำ และช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้สร้างภาพจำ เช่น ชื่อแบรนด์ โลโก้ สโลแกน กลยุทธ์การเล่าเรื่อง เป็นต้น

    👉 การเงิน

    เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะซับซ้อนและเข้าใจยากที่สุด เชื่อว่าเจ้าของธุรกิจหลายท่านปวดหัวกับเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย ซึ่งจริง ๆ แล้วมีเทคนิคง่ายนิดเดียว หน้าที่ของการเงินคือ คุณต้องหาเงินให้ได้มากว่าที่ต้องจ่ายไปและคุณควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องจุดคุ้มทุนและระยะเวลาคืนทุน ซึ่งจะช่วยให้คุณบริหารเงินได้ดีและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการหมุนเงินอีกด้วย

    👉 การบริหารคน

    หลาย ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจปฎิเสธไม่ได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากคน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ยากที่สุดส่วนหนึ่งในทุกภาคส่วนชองธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่

    ทรัพยากรบุคคลเป็นสิ่งที่มูลค่าสูง การบริหารจัดการคนจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจ เพราะการมีพนักงานที่เหมาะสมกับงาน ใช้ความรู้ ความสามารถให้การทำงานได้อย่างเต็มที่ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ มีความเข้าใจและเหมาะสมกับองค์กร จะสามารถช่วยผลักดันให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้

    จาก 5 พื้นฐานสำคัญในการทำธุรกิจ ทุกด้านล้วนมีความเชื่อมโยงและผูกพันธ์กันอยู่ การวางระบบ คือกระดูกสันหลังในการทำธุรกิจ จะช่วยให้คุณเข้าใจและวางแผนในการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการทำการตลาดที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักคุณ, การสร้างตัวตนของธุรกิจคุณเพื่อที่จะให้คนได้เข้าใจและรับรู้คุณค่าในสิ่งที่คุณเป็น, การบริหารจัดงานเงินที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินต่อไปได้ และการบริหารจัดการคนที่จะช่วยส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนขององค์กรมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    หวังว่าบทความนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังทวบทวนถึงการบริหารธุรกิจอยู่ไม่มากก็น้อย หากคุณยังบริหารจัดการ 5 พื้นฐานนี้ไม่ดีพอ หรือยังไม่สามารถหาทางออกได้

    หลักสูตร XMBA สรุป MBA ใน 2 สัปดาห์ ที่จะสอนทุกเรื่องที่คุณต้องรู้ในการทำธุรกิจ จะช่วยให้คุณได้ความรู้ แนวคิดใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ และแก้ปัญหาของคุณได้

    คลิกเพื่อรับรายละเอียดเพิ่มเติม

    👉 ในปัจจุบันองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Data ตั้งเเต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการนำมาใช้ในการตัดสินใจ มักจะเป็นองค์กรที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง 🔑 ที่ถ้าคนทำธุรกิจขาดไป ก็จะทำให้คุณไม่สามารถอยู่ในยุคที่มีการเเข่งขันสูงเเบบนี้ได้ 🎯 นี่จึงเป็นเหตุผลที่ ทำไมผู้บริหาร ถึงต้องใช้ Data เพราะ Data คือความจริง เป็นข้อมูลที่ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจเเละวัดผลได้

    👉 และที่สำคัญ Data ไม่เพียงเเค่ช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น เเต่คุณยังสามารถนำ Data มาใช้ในการบริหารองค์กร หรือใช้เพื่อการดูแลพนักงานได้ เพราะเหตุนี้ Data จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจะมองข้ามไม่ได้

    3 เหตุผลว่าทำไมผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจ ไม่ควรมองข้าม Data

    1. คุณสามารถนำมาปรับใช้กับพนักงานของคุณได้
      เพื่อให้คุณสามารถติดตามงาน หรือเข้าใจพฤติกรรมของพนักงานในองค์กรของคุณมากขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน เเละการดูเเลพนักงาน ❤️ เพราะการที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับพนักงานของคุณเลย คุณอาจจะเสียพนักงานของคุณไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว
    2. คุณจะเข้าใจลูกค้าของคุณมากขึ้น
      เมื่อคุณมีพฤติกรรมของลูกค้าคุณ เป็น Data แล้ว ก็ถือว่าธุรกิจของคุณก็ย่อมมีความได้เปรียบ เพราะ เมื่อคุณมีข้อมูลที่มากพอ คุณก็จะรู้ได้ว่าลูกค้าของคุณต้องการอะไร และหากคุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ได้เเบบถูกวิธี 📊 คุณก็จะเข้าใจลูกค้าของคุณมากขึ้น รู้ว่าลูกค้าของคุณชอบอะไร มีพฤติกรรมเเบบไหน เพื่อให้คุณสามารถปิดการขายได้ รวมไปถึงการนำ Data 🌐 ที่มีมาสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดได้ เช่น การทำ ให้ลูกค้าที่เป็นขาจร เปลี่ยนเป็นลูกค้าขาประจำ หรือการที่ต่อให้คุณทำสินค้าใหม่ออกมา ก็จะการันตีได้ว่ายังไงก็ปัง!!
    3. คุณจะสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลง
      Data ที่คุณมีสามารถบอกได้ว่า เทรนด์เเบบไหนดี เทรนด์เเบบไหนไม่ดีสำหรับธุรกิจคุณ เพื่อให้ Data เป็นตัวช่วยในการบริหารความเสี่ยงให้กับธุรกิจ 📈 เพราะ Data จะเป็นทั้งเครื่องมือในการลดความเสี่ยง และช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีมากยิ่งขึ้น

    ตัวอย่างธุรกิจระดับโลกที่นำ Data มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Netflix มักจะนำเสนอหน้าเเรกเป็นคอนเทนต์ที่ถูกใจคนดู หรือมักจะทำให้คนดูสนใจได้เสมอ เป็นเพราะว่า Netflix ได้ใช้ Data ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานเเต่ละคน เพื่อที่จะนำเสนอคอนเทนต์ที่คุณจะสนใจ และไม่เพียงเเค่ใช้ในการนำเสนอ เเต่ยังสามารถใช้ Data ในการผลิตภาพยนต์ที่ตรงใจผู้ใช้งาน

    อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง McDonald’s คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมไม่ว่าจะเปิดร้านกี่สาขา ก็ประสบความสำเร็จ และทำอาหารได้ถูกปากคนทานตลอด เป็นเพราะว่า McDonald’s ใช้ Data ในการปรับปรุงทั้งสินค้าเเละบริการ

    .

    ในตอนนี้ที่ทุก ๆ อย่างสามารถมาเป็น Data ให้กับเราได้ มันคือยุคที่เราเเข่งขันกันช่วงชิงข้อมูล เพื่อสร้างโอกาสให้กับธุรกิจมากที่สุด และการที่ธุรกิจมี Data เป็นตัวขับเคลื่อน Data เหล่านี้จะทำให้คุณชนะเกมการตลาด ในประเภทธุรกิจที่คุณกำลังเเข่งขันอยู่

    และถ้าหากคุณสนใจหรือต้องการที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Data เพื่อนำมาใช้ในการบริหารธุรกิจ สามารถมาเจอกันได้ใน คอร์สสด Data Driven Strategy หลักสูตรที่จะช่วยให้คุณมีข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน ในการทำธุรกิจ และใช้ Data สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาวได้ สนใจรายละเอียดคลิกที่รูปภาพได้เลย

    คลิกเพื่อรับรายละเอียดเพิ่มเติม

    We use cookies, please see our policy and setting

    Privacy Preferences

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    Allow All
    Manage Consent Preferences
    • Always Active

    Save
    linkedin facebook pinterest youtube rss twitter instagram facebook-blank rss-blank linkedin-blank pinterest youtube twitter instagram