เทคนิคลับสำหรับ Excel ให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น
ถ้าพูดถึงโปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรมที่มักนิยมใช้ในการสร้างตารางทำงาน จัดตารางสวยงาม ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงเป็นโปรแกรมสำหรับการคำนวณ สร้างกราฟ สร้างรายงานสรุปยอดต่างๆ ซึ่งมือใหม่หัดใช้โปรแกรมนี้อาจไม่รู้เทคนิคพิเศษที่จะทำให้ทำงานได้เร็วและถูกต้องแม่นยำ เพราะ Excel เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถหลากหลาย และคนใช้งานต้องมีความเข้าใจที่ค่อนข้างลึกซึ้งจึงจะพลิกแพลงการทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงมัดรวมเทคนิคง่ายๆสำหรับการใช้งาน Excel เพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ดังนี้
นอกจากเป็นการ Copy ข้อมูลแล้วยังสามารถลอกสูตรได้ด้วยและยังสามารถใช้ในการรันเลข, คำนวน เพียงพิมพ์ค่าตั้งต้นอย่างน้อย 2 ช่อง คลุมดำทั้ง 2 ช่อง และกดสี่เหลี่ยมเล็กๆมุมล่างขวาแล้วลากลงมาตามที่เราต้องการได้เลย สะดวกมากๆ
วิธีการ คือ เลือก Cell หนึ่งในข้อมูล จากนั้นไปที่ Data >> Filter จากนั้นก็เลือก Filter ว่าจะดูเฉพาะรายการไหน ซึ่งพอ Filter ข้อมูลจะแสดงเฉพาะ Filter ที่เราต้องการเห็น
Ctrl + Shift + ! สำหรับเปลี่ยนให้เป็นจุดทศนิยมสองตัว
Ctrl + Shift + $ สำหรับแปลงสกุลเงินเป็นดอลลาร์
Ctrl + Shift + % สำหรับเปลี่ยนเป็นเปอร์เซ็นต์
Ctrl + คลิกช่องที่ต้องการเลือกข้อมูล สำหรับเลือกข้อมูลที่ไม่ต่อกัน
การใช้ Excel ยังมีอีกหลากหลายวิธี และหลายสูตรที่คนทำงานสาย Data ทั้งหลายควรรู้เพื่อให้การทำงานที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น สามารถลงลึกเจาะดีเทลได้อีกที่ https://eddu.org/course-microsoft-office/
ที่มา
www.thepexcel.com
เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีรายได้ทางเดียว
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การมีรายได้ช่องทางเดียวจากงานประจำเริ่มไม่มั่นคงและไม่เพียงพอสำหรับใครหลายคน อย่างสถานการณ์ Covid-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ทำให้หลายกิจการต้องปิดตัวลงบ้าง หยุดชั่วคราวบาง หลายคนขาดรายได้อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลายคนเกิดความคิดที่ว่า งานประจำเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง ควรมีงานสำรอง หรือ second job ด้วย เพื่อสร้างความมั่นคงกว่าเดิมให้ตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การมีงานที่สองเป็นงานเสริมนั้น ก็ได้เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มีงานเสริมนั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของการทำงานเพื่อความรู้สึกของตัวเอง คือ มีงานประจำไว้เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง แต่ในขณะเดียวกันก็เลือกทำอีกงานควบคู่กันไป เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่รักหล่อเลี้ยงจิตใจและมีผลพลอยได้เป็นรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจนสูสีหรือมากกว่างานประจำด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามมีงานอีกประเภท ที่เรียกว่า งานฟรีแลนซ์ เป็นงานที่มีอิสระ ไม่มีกำหนดตายตัวว่าต้องเข้างานเลิกงานกี่โมง อาจจะไม่มีออฟฟิศประจำ หรือมีก็ได้ สามารถทำงานได้จากทุกที่ สามารถรับงานจากนายจ้างได้หลายๆคน งานฟรีแลนซ์นี้มีความคาบเกี่ยวกับงานที่สองพอสมควร เพราะบางคนที่ทำงานฟรีแลนซ์อาจจะไม่มีงานประจำเลยก็ได้ รับงานหลายๆจ็อบอย่างอิสระ แต่บางคนก็รับทำงานฟรีแลนซ์ในลักษณะที่เป็นสัญญาประจำ เช่น งาน Admin ตอบไลน์ หรือ ทำ Content ลงเพจให้ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน โดยตกลงกันทำงานร่วมกันในระยะยาว
ดังนั้นงานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ ที่เลือกทำกันนั้น จึงมีความคล้ายตรงที่เป็นเหมือนโรงเรียนเล็กๆ ที่ทำให้เราได้ฝึกลองมือซึ่งบางครั้งงานประจำในออฟฟิศก็ไม่สามารถให้สิ่งนี้กับเราได้ บางคนค้นพบตัวเองมากขึ้นจากการทำงานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ โดยอาศัยสิ่งที่ตัวเองสนใจหรือมีความถนัดเป็นพื้นฐาน การได้ลองเอาสิ่งที่รักที่ชอบมาเป็นงานจริงๆ อาจทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเรารักในสิ่งนั้นจริงๆ ซึ่งเป้าหมายของการทำงานเสริม ส่วนมากจะแบ่งได้เป็น 2 ระยะ
1. เป้าหมายระยะสั้น ทำเป็นจ็อบๆ เป็นสัญญาระยะสั้น 1 เดือน 3 เดือน เช่น การทำงานกราฟฟิค ทำโลโก้ ทำแบบแพคเกจสินค้า หรือรับเป็นงานๆไป เช่น แปลงาน รับหิ้วของจากการไปต่างประเทศ การขับ Grab ซึ่งข้อดีของการหารายได้เสริมลักษณะนี้คือ ไม่มีข้อผูกมัด สามารถเปลี่ยนงานเสริมได้เรื่อยๆ อาจจะไม่ได้อินกับงานที่ทำเท่าไหร่นัก แต่ว่าเป็นงานที่เรามีความถนัด เลยคุ้มค่าที่จะทำเพิ่ม
2. เป้าหมายระยะยาว คือ มีอีกอาชีพหนึ่งขนานกันไปกับงานประจำ เช่น ในขณะที่เป็นพนักงานออฟฟิศ ก็เปิดร้านอาหารด้วย หลังเลิกงานก็ต้องเข้าร้านเพื่อไปควบคุมดูแลกิจการให้ดำเนินไปได้ งานเสริมที่มีเป้าหมายระยะยาวอย่างนี้อาจสร้างรายได้ให้มากจนบางครั้งอาจมากกว่าอาชีพหลัก หรือบางครั้งก็สามารถทำเพื่อเติมเต็มความฝันและยังได้คอนเน็กชั่น ประสบการณ์ที่มากกว่าการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว
ส่วนมือใหม่ที่อยากหางานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ทำเพิ่ม ควรเริ่มจาก
อย่างไรก็ตามงานเสริมยังมีอีกมากมาย เช่น แปลภาษา ติวเตอร์ ขับ Grab การตัดสินใจเลือกทำงานเสริมอะไรแล้วก็ควรให้ความสำคัญไม่แพ้ไปกับการทำงานประจำ เพื่อให้เกิดวินัยในตัวเอง และเกิดความภาคภูมิใจในงานที่ทำออกมา นำสู่การต่อยอดการมีรายได้ที่มากขึ้นนั่นเอง
ที่มา https://thestandard.co/podcast/ihatemyjob14/
เปลี่ยน PRESENTATION ชวนหลับ!
ให้น่าสนใจกว่าเดิม ด้วยเทคนิค 10/20/30 จาก Apple
ผมเชื่อว่าใครหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้ จะต้องเคยผ่านการทำสไลด์ หรือ presentation มานับครั้งไม่ถ้วน เริ่มตั้งแต่มัธยม จนถึงวัยทำงาน (บางคนนับได้เป็นร้อยสไลด์แล้วกระมัง) และผมก็เชื่ออีกว่า น้อยคนที่จะรู้ว่า การทำ Presentation ผ่านโปรแกรม Power Point ที่ดีนั้น ต้องประกอบด้วยสิ่งจำเป็นอะไรบ้าง?
ไม่ใช่แค่ความสวยงาม รูปที่น่าสนใจ หรืออนิเมชั่นเคลื่อนไหวว้าวๆ เท่านั้นนะครับ presentation ที่ดี ยังประกอบด้วยสิ่งสำคัญเล็กๆ ที่หลายคนมองข้ามไป วันนี้ผมจะมาบอกเคล็ดวิธีทำ presentation แบบ 10/20/30 ให้คุณรู้ เชื่อสิ! เลขหลักสิบ 3 ตัวนี้ จะทำให้การพรีเซนต์งานของคุณเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
.
ทฤษฎี “10/20/30”
ถูกคิดค้นขึ้นโดยคุณ Guy Kawasaki
ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ presentation
ผู้เป็นหนึ่งในพนักงานรุ่นบุกเบิกของบริษัท Apple ซึ่งทริคนี้ Kawasaki ได้นำมาใช้ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขา และพบว่า presentation ของเขา ดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้จริง
หลักการของ “10/20/30” นั้น เป็นคอนเซปต์ที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย เพียง 3 ข้อหลักๆ คือ
.
ง่ายๆ แค่นี้เองครับ
ซึ่งในแต่ละข้อนั้น ยังมี tips หรือรายละเอียดๆ ที่คุณ Kawasaki ใจดีขยายความให้พวกเราเข้าใจ และนำไปพัฒนา powerpoint ได้ดีขึ้นไปอีก ดังนี้
.
กฎข้อที่หนึ่ง 10 สไลด์
คุณ Kawasaki กล่าวว่า การที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจคอนเซปต์ที่มากมายเกิน 10 อย่างนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายเกินไปในการนำเสนอในระยะเวลาที่จำกัด ดังนั้น การนำเสนอหัวข้อจึงควรโฟกัสที่ใจความสำคัญที่ต้องการสื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบเป็นหลัก โดยใช้เนื้อหาที่กระชับและเข้าใจได้ง่ายที่สุด รูปแบบของสไลด์ที่ดี จึงควรมีหัวข้อสำคัญที่สามารถเห็นได้ชัด และตัวอักษรไม่เยอะเกินไป เพราะหัวใจหลักของการพรีเซนต์คือการพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ
.
กฎข้อที่สอง 20 นาที
หลังจากที่ได้โครงสร้างคอนเซปต์ทั้งหมดที่คุณต้องการนำเสนอใน 10 หน้าแล้ว คุณจะสามารถวางแผนการพรีเซนต์ได้อย่างง่ายดายด้วยเวลาที่จำกัดเพียงแค่ 20 นาที การแบ่งเวลาให้แก่สไลด์นั้นๆ เพื่อที่จะบอกเล่าใจความสำคัญ ก็สามารถทำได้อย่างมีแบบแผน
.
กฎข้อที่สาม 30 Point Font
การใช้ฟอนต์ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 30 Point Size เป็นการดึงดูดสายตาของผู้ฟังไปที่สไลด์โดยใช้ขนาดของข้อมูลที่ใหญ่มากพอที่จะมองเห็นได้โดยไม่ต้องเพ่งสายตา และเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องอ่าน ทุกคนก็จะสามารถโฟกัสกับการฟังสิ่งที่คุณกำลังพรีเซนต์ได้มากขึ้นอีกด้วย
.
เห็นมั้ยล่ะว่า กฎ “10/20/30” นั้นจะทำงานควบคู่กันไป หากคุณทำกฎข้อใดข้อหนึ่งมากเกินไป กฎอีกสองข้อก็จะทำหน้าที่ “ตีกรอบ” Presentation ของคุณให้เข้าที่ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสไลด์ ระยะเวลาที่จำกัด และขนาดของฟอนต์ จึงมั่นใจได้ว่า หากใช้กฎเหล่านี้ การพรีเซนต์ของคุณนั้นจะกระชับและเข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้ฟังทุกคน
.
นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่สามารถนำมาอัปเกรด PowerPoint ได้อีก เช่น
✔ การเลือกใช้ภาพที่เป็นการกระตุ้นอารมณ์ของผู้ฟัง ให้รับรู้ถึงประเด็นที่คุณกำลังนำเสนอ หรือแม้แต่การทำอินโฟกราฟิก (Infographic) ที่เป็นการแปลงสถิติมาเป็นไอค่อน หรือรูปภาพที่เข้าใจง่าย บอกเลยว่า แบบนี้สร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากราฟแบบวงกลม (Pie Chart) หรือกราฟแผนภูมิแท่ง (Bar Chart) อย่างแน่นอน
✔ การเลือกใช้สีให้เหมาะสมกับข้อมูลที่ต้องการนำเสนอก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น สีโทนร้อน ( Warm Tones) ใช้นำเสนอข้อความสำคัญที่ต้องการให้คนจดจำ หรือเลือกใช้สีโทนเย็น (Cool Tones) เพื่อเป็นภาพประกอบพื้นหลังที่ดูสบายตา ทริคเล็กๆ เหล่านี้ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ Presentation ของคุณได้อย่างมาก
.
หลังจากที่ได้ PowerPoint ที่น่าพอใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ “การพูดนำเสนองานให้น่าสนใจ” ซึ่งหากเริ่มพูดแล้วผู้ฟังประทับใจก็การันตีได้เลยว่า คุณมีชัยไปกว่าครึ่ง โดยคุณอาจจะเลือกเปิดการพรีเซนต์ของคุณด้วย “การทำให้หัวข้อของคุณเป็นเรื่องใกล้ตัว” ที่ผู้ฟังจะสามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ และเขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึงของการพรีเซนต์นี้ หรือแม้กระทั่งการเริ่มต้นด้วย “การตั้งคำถาม” หรือ “เริ่มด้วยคำคมของบุคคลที่มีชื่อเสียง” ก็สามารถทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจได้เช่นเดียวกัน
.
ส่วนสำคัญที่จะลืมไปไม่ได้อีกเรื่อง ก็คือ “น้ำเสียง” ของผู้พรีเซนต์ การเลือกใช้โทนเสียงที่แตกต่างกันไป การใช้เสียงสูง เสียงต่ำ หรือความดังของเสียงที่แตกต่าง เพื่อเน้นให้ผู้ฟังรับทราบถึงความสำคัญของเนื้อหาในขณะนั้นช่วยดึงดูดความสนใจได้มาก หากเป็นไปได้ ให้หลีกเลียง “การอ่าน” พรีเซนต์ของคุณ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ฟังของคุณเบื่อ ยังทำให้คุณดูไม่มีความเป็นมืออาชีพอีกด้วยนะครับ
.
หัวใจหลักของการพรีเซนต์ PowerPoint ให้ปังคือ “ความเป็นธรรมชาติ” การสร้างคอนเนคชั่นระว่างผู้พรีเซนต์กับผู้ฟังผ่านสายตา แพชชั่น และบุคลิกภาพของคุณ รวมไปถึงการสอดแทรกมุกตลกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ฟังนั้นจะทำให้การพรีเซนต์งานของคุณ เหมือนการนั่งคุยกับเพื่อนไปโดยปริยาย โดยเคล็ดลับอื่นๆ นอกจากนี้ จะถูกบรรจุไว้ใน “หลักสูตร Office” ของ Edduteam
ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณไม่ค่อยมีประสบการณ์ เพราะเราสอนตั้งแต่เริ่มต้นแบบจับมือทำ
และยิ่งไม่ต้องห่วงสำหรับผู้มีประสบการณ์ เพราะเราจะช่วยให้คุณได้พัฒนาฝีมือตัวเองให้โดดเด่นกว่าใคร
ในหลักสูตรนี้นอกจาก powerpoint แล้ว เรายังแถมหลักสูตรมือโปรสูตร Excel ที่จะทำให้คุณคำณวนตัวเลขได้อย่างแม่นยำ และการเรียบเรียงรายงานผ่าน Word ที่จะช่วยให้คุณดูเป็นมืออาชีพอีกด้วย ครบถ้วนขนาดนี้ รีบสมัครเรียนด่วนเลยนะครับ
เรียน Microsoft Office จาก 0 เป็น มือโปร
13 ชั่วโมง เพียง 1,999.- สมัครเลย
แหล่งอ้างอิง
https://ethos3.com/6-reasons-the-6x6-rule-works/
https://blog.hubspot.com/marketing/7x7-rule-powerpoint
https://www.mangozero.com/how-to-start-a-presentation/
หารายได้เป็นกอบเป็นกำในยุค Metaverse ด้วยการสร้างเกมผ่าน Unity
Metaverse คือ ประสบการณ์ดิจิทัลบนสภาพแวดล้อมจำลองแบบสามมิติ และเป็นโลกเสมือนที่ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกจริง ๆ แต่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ต ซึ่ง Metaverse นั้น สร้างขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (Augmented Reality: AR) และเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) ผนวกเข้าด้วยกัน
จากงานวิจัยของ Gartner inc. บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก ได้คาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2026 ที่จะถึงนี้
กว่า 25% ของประชากรทั้งโลก จะใช้เวลามากกว่า 1 ชม / วันใน Metaverse
เพื่อการทำงาน ช้อปปิ้ง หรือเพื่อความบันเทิงในรูปแบบของเกม และแน่นอนว่า เมื่อถึงเวลานั้นหลายๆ อาชีพที่เกี่ยวของกับการผลิต และพัฒนาเกม ย่อมเป็นที่ต้องการ และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลในอนาคต
หลายบริษัทเดินหน้าเข้าสู่ Metaverse แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจเกมที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ อย่าง MetaVRse และ Unity ที่กำลังสร้างเครื่องมือเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์และสตูดิโอเกม รวมถึงพัฒนาการสร้างคอนเทนต์ของ AR และ VR เพื่อรองรับโลกเสมือนใหม่
.
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รอการมาของโลก Metaverse
และอยากหารายได้เป็นกอบเป็นกำด้วยอาชีพที่โลกใหม่ต้องการมากที่สุด
สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้เป็นอย่างแรก คือ
“ Unity แพลตฟอร์มที่ถูกใช้สร้างวิดิโอเกมส์มากที่สุด”
✔ Unity เป็นเครื่องมือในการสร้างเกมส์แบบ 2D และ 3D ที่ใช้งานบนมือถือ แทปเล็ต คอมพิวเตอร์ เกมส์คอนโซล
✔ สามารถสร้างเกมบนแพลตฟอร์ม Unity ได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลร่วมกันได้แบบเรียลไทม์
✔ สามารถผลิตเกมขึ้นมาครั้งเดียว แต่สามารถใช้งานได้มากกว่า 20 แพลตฟอร์ม ซึ่งรวม Wondows, Mac, Android, Playstation, Xbox, Nintendo Switch และ VR กับ AR ได้โดยไม่ต้องมีการเขียนโค้ดใหม่
✔ ผู้ผลิตเกมกว่าครึ่งหนึ่งของโลกใช้แพลตฟอร์ม Unity สร้างวิดิโอเกม
และเกมชื่อดังที่ประสบความสำเร็จมากมายอย่าง เกมชื่อดังมากมาย เช่น Pokémon GO, League of Legends, Genshin Impact, Among Us, Garena Free Fire หรือ Overcooked ล้วนสร้างขึ้นบน Unity
.
ที่สำคัญ คือ Unity เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย แต่ประสิทธิภาพสูง
✔ คุณไม่จำเป็นต้องเขียนโคดเป็น
✔ คุณไม่ต้องเป็นนักพัฒนามืออาชีพ
✔ คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนก้อนใหญ่
ก็สามารถพัฒนาเกมได้ด้วยแพลตฟอร์ม Unity ได้
ซึ่งทักษะการใช้แพลตฟอร์ม Unity และ ผลงานบนแพลตฟอร์ม Unity สามารถสร้างโอกาสในสายงาน Game Creator ในโลก Metaverse ได้
โดยสายงานของ Game Creator ในโลก Metaverse สามารถแตกแขนงไปได้หลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมดีไซน์เนอร์ (Lead Designer) นักออกแบบระบบเกม (Mechanics Designer) และ นักออกแบบภูมิทัศน์ (Environmental Designer) โดยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถทำได้ด้วยทักษะการใช้งาน Unity
Game Creator ในประเทศไทย
สามารถหารายได้ราว
25,000 – 100,000.-/เดือน
Game Creator ประเทศไทยสามารถหารายได้ราว 25,000 – 100,000 บาทต่อเดือน โดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นงานประจำเพียงอย่างเดียว เนื่องจากความง่ายและสะดวกในการใช้ Unity ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองกับสร้างเกม ในขณะเดียวกันอาชีพ Game Creator ในสหรัฐอเมริกานั้น มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ $90,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือราวๆ 253,800 บาท/เดือนเลยทีเดียว
.
น่าสนใจใช่มั้ยล่ะครับ ?
มาเรียนรู้ทักษะสำคัญ เพื่อเตรียมตัวก้าวเข้าสู่ยุค Metaverse ไปด้วยกัน
ผ่านหลักสูตร “สร้างเกมด้วย Unity” ที่จะเริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐาน และสร้างความเข้าใจในการพัฒนาเกม และการเขียนโปรแกรม *สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และ ยังแถมฟรี! องค์ประกอบกับเครื่องมือสำหรับการสร้างเกม 2D และ 3D ที่พร้อมใช้งานจริงกว่า 1,000 รายการ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาสร้างใหม่หรือเสียเงินซื้อเพิ่มทำให้การสร้างเกมของคุณนั้นสามารถเริ่มต้นได้แบบติดจรวด
สมัครเลย!
หลักสูตร
สร้างเกม ด้วย Unity
หลักสูตรสอนพัฒนาเกมด้วยโปรแกรม Unity ที่สอนละเอียดตั้งแต่ เริ่มออกแบบ จนถึงพื้นฐานการเขียนโปรแกรมในการสร้างเกม (ไม่เคยเขียนโปรแกรมมาก่อน ก็เรียนได้)
เรียนคอร์สสร้างเกมด้วย Unity เพียง 3,999
เพื่อวางพื้นฐานสู่อาชีพในฝันแห่งโลกอนาคต
แหล่งอ้างอิง
https://www.careerexplorer.com/careers/video-game-designer/compatibility/
https://murdoch.kaplan.com.sg/top-6-skills-needed-successful-video-game-developer/
https://www.garenaacademy.com/job/game-artist-dev/game-developer
https://www.longtunman.com/32756
https://www.springnews.co.th/spring-life/820966
https://www.springnews.co.th/news/820802
https://bigscienceband.com/unity-beginner-tutorial-how-to-make-a-game/
https://km.mof.go.th/th/view/attachment/article/32333536/7AR
https://il.mahidol.ac.th/th/i-Learning-Clinic/general-articles/vr-เทคโนโลยีโลกเสมือนจริ/
เนื้อหาในบทความนี้
หน้าที่ของ Data Analyst โดยชื่อถ้าแปลตรงตัว จะหมายถึงว่า นักวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสโคปงานจะค่อนข้างกว้าง และขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท รวมไปถึงแต่ละแผนก ว่าต้องการใช้นักวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจุดประสงค์อะไร
ตัวอย่างเช่น ทีมการตลาด ต้องการเพิ่มยอดขาย จึงต้องใช้นักวิเคราะห์ข้อมูลหาเหตุผลว่า ทำไมยอดขายสินค้าบางชนิดถึงขายได้ดี ทำไมสินค้าบางประเภทยอดขายถึงไม่ดีช่วงนี้ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อยอดขายบ้าง เมื่อทีมการตลาดได้ข้อมูลที่ผ่านการ รวบรวม คัดกรอง หรือรวมไปถึงการ Visualize (การทำข้อมูลให้เห็นเป็นภาพในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจตัวเลขได้สะดวกขึ้น) จึงนำไปปรับแผนการตลาด หรือการออก campaign ส่งเสริมการตลาด ที่สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้ และสามารถนำไปใช้เพิ่มยอดขายได้จริงตามหลักของเหตุและผล
การทำงานจริง ได้ใช้วิชา Stats แบบอลังแค่ไหน?
หลายๆคนมีความเข้าใจว่า ถ้าเป็น Data Analyst วันๆจะได้รันโมเดลเชิงสถิติ เขียนโค้ดรัวๆแบบที่ได้เรียนในมหาลัยแน่ๆเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว...
ใน Corporate หลายๆที่ยังใช้ Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูล และจัดกลุ่มเพื่อนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวเลขเพียงเท่านั้น
บางบริษัทที่มีข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น อาจจะมี Data warehouse สำหรับการดึงข้อมูล จะมีโอกาสได้ใช้สกิลเขียน SQL บ้าง และนำมาทำงานกันต่อบน excel หรือ visualize ใน Power BI, Tableau หรือ Data studio ตามแล้วแต่สะดวก เพื่อให้ทางทีมที่ทางเราส่งข้อมูลต่อ นำไปใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ทางธุรกิจได้
ดังนั้นแล้ว Data Analyst ใช้ Business Sense หรือ ตรรกะการคิดวิเคราะห์เชิงธุรกิจ มากกว่าจะมานั่งรันโมเดลทางสถิติ เพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมซะมากกว่า เราไม่จำเป็นต้องเอารถถังไปสู้กับไม้จิ้มฟัน
Data analyst ที่เก่ง = เร็ว แม่นยำ ถูกต้อง นำไปใช้ต่อได้
Create a service request > Collect & analyze requirements and usage cases > Timeline estimation > Work in process > Deliver results
ส่วนถ้าใครอยากรู้วิธีการใช้ Data มาช่วยบริหารธุรกิจ และทำการตลาดในยุคนี้ พร้อมทั้งใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้ละเอียดยิ่งขึ้นกว่านี้ Eddu ก็มีคอร์สสอนเกี่ยวกับ Data Analytics โดยเน้นไปที่
✅ ทำ Dashboard สรุปข้อมูลให้เข้าใจง่าย นำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✅ การวิเคราะห์ตลาด มองหาความน่าจะเป็น ตั้งสมมติฐาน และประเมินความได้เปรียบของธุรกิจ ด้วย Data
รับรองว่า คอร์สนี้อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ และพร้อมจะเปลี่ยนให้คุณเป็นมือโปรด้านนี้เลย!
สมัครเลย!
หลักสูตร Data Analytics for Business & Marketing
ใช้ Data มาช่วยทำธุรกิจ / การตลาด ในยุค 4.0
แถมให้พิเศษ! สอน Google Data Studio ทำ Data Visualization
หลักสูตร Data Analytics & Visualization 12 ชั่วโมง