ในบทความนี้ จะพาทุกคนมาดู หนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จ จาก Business Model Canvas ของ BMW แบรนด์รถหรูสัญชาติยุโรป ที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1916 และครองใจผู้คนได้มากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก โดยในปี 2022 BMW Group สร้างรายได้กว่า 5,275 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

เคล็ดลับความสำเร็จของ BMW คืออะไร?

หากหลายคนเคยเห็นหรือเคยศึกษา Business Model Canvas ของ BMW จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทาง BMW ได้ให้ความสำคัญกับ Key Partner เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ บริษัทที่จะมาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับแบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทใหญ่ที่มีมาตรฐานอย่าง BMW  นั้นต้องขั้นตอนและวิธีการคัดเลือก Key Partner ที่เหมือนกันทั่วโลกและมีการจัดการอย่างเป็นระบบ

Business Model Canvas ของ BMW จาก finchandbeak
Business Model Canvas ของ BMW จาก Finch and Beak

แต่ละบริษัทที่ได้คัดเลือก เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย (Dealers) ของ BMW จะถูกสำรวจจากหน่วยงานฝ่ายพัฒนาเครือข่าย Dealers ทั้งในด้านพื้นที่ วิสัยทัศน์ของบริษัท และแผนการดำเนินธุรกิจ อย่างละเอียด ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงยอดประมาณการ จำนวนรถยนต์ ที่ทางบริษัทจะสามารถขายได้ พร้อมบริการหลังการขาย ที่จะเกิดขึ้นเพื่อรองรับความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการซื้อรถแบรนด์ BMW ซึ่งมีความต้องการระดับสูง

BMW SHOW ROOM - EDDU

อย่างในประเทศไทยของเรานั้นบริษัท BMW มีผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการเพียง 29 สาขาเท่านั้น แต่สามารถครอบคลุม พื้นที่สำคัญทั้งใน ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ พัทยา และ อื่น ๆ ทำให้เป็นแบรนด์รถยนต์ที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก

BMW กับ กลยุทธ์ที่เน้นความมั่นคง 

หนึ่งในงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยชินวัตร พบว่า 60% ของกลยุทธ์ในระดับองค์กร ที่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ BMW คือ กลยุทธ์ที่เน้นความมั่นคง ซึ่ง BMW นั้น จะเน้นไปที่คุณภาพของการบริหารจัดการและการบริการ มากกว่าการรีบเพิ่มจำนวนของ Dealor และ Distributor เพื่อแข่งกับแบรนด์รถยนต์เจ้าอื่น แม้จะมีผู้สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายต่อแถวเป็นจำนวนมากก็ตาม

การเปลี่ยนโฉม Business Model เดิม สู่รูปแบบใหม่

ปัจจุบัน BMW ได้มีความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลง Business Model จาก European Dealers สู่รูปแบบ Genuine Agency Model ที่ทำให้แบรนด์สามารถควบคุมสินค้าคงคลัง และการกำหนดราคาให้สอดคล้องกับตลาดได้มากขึ้น โดยจากเดิม ที่ทางแบรนด์จะขายส่งสต็อกสินค้า ให้ตัวแทนจำหน่าย แต่มีการปรับเปลี่ยนเป็นการออกใบแจ้งหนี้ให้กับลูกค้าโดยตรง และมีการปันผลเป็นค่าธรรมเนียมแก่ตัวแทนจำหน่าย ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ในการบริการลูกค้า ทั้งเรื่องของการทดลองขับ การซื้อ และ การรับสินค้า

BMW Drive in

นอกจากนี้ BMW ยังได้ทำการให้ความรู้กับพนักงานขาย เพื่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันธ์และเข้าใจถึงข้อมูลสินค้า ที่นำเสนอลูกค้า และอีกทั้ง ยังมีบริการหลังการขาย ที่กลุ่มคนรักรถหลายท่าน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า

" กลุ่มคนรักรถหลายท่าน ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า BMW ยืนหนึ่งเรื่องการบริการ "

ทั้งในการของการให้ข้อมูล การช่วยเหลือลูกค้า การซ่อมแซม การรับประกัน และบริการอื่น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่ให้ BMW ครองใจลูกค้าได้อย่างยาวนาน คงหนี้ไม่พ้น ความใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การใส่ใจมาตรฐาน คุณภาพของสินค้า และการพัฒนาไลน์สินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า และยังมีการทำการตลาดที่ดึงดูดลูกค้าได้อยู่หมัด

BMW HEADQUARTERS

ด้วยรูปแบบการวาง Business Model ใหม่ของ BMW Group นี้ยังช่วยสร้างความโปร่งใส ด้านราคา และเป็นการรับประกันได้ว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกัน และสอดคล้องกันในทุกช่องทางการขาย และด้วยเพราะเหตุนี้ BMW จึงได้ครองใจสาวกนักขับได้แบบไม่มีข้อยกเว้น

และสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการวางแผนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนแบบ BMW

แนะนำหลักสูตร

วางกลยุทธ์ธุรกิจด้วย BMC ให้มั่นคง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง

คุณจะได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจความสำคัญของการใช้ BMC และการประยุกต์ใช้แผนธุรกิจในการดำเนินธุรกิจ

รายละเอียดเพิ่มเติม >> https://eddu.org/business-model-canvas-detail/

Reference :

https://www.bmw.co.th/th/fastlane/dealer-locator.html
https://www.blockdit.com/posts/5f4e4fb5c6e55378268c4829
http://gotomanager.com/content/780/
https://www.carexpert.com.au/car-news/bmw-exploring-agency-sales-model
https://www.finchandbeak.com/1048/sustainable-innovation-bmw-business-model.htm

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า กระแส E-commerce (อีคอมเมิร์ซ) ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนไปตลอดการ โดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมการ ซื้อ-ขายสินค้า ที่ทำให้ทุกอย่างทำได้ง่ายขึ้น ด้วยปลายนิ้ว ไม่เว้นแต่ในตลาดของเล่นที่มีวางขายในเว็บต่าง ๆ มากมาย การขายของเล่นบนโลกออนไลน์มากมาย ตั้งแต่ของเล่นทั่วไป ที่หาง่าย ไปจนถึงของสินค้า "Rare Item" ที่หายาก และราคาสูงลิ่ว

ความพิเศษของ E-Commerce

การเข้ามาของ E-Commerce สร้างความสะดวกสบายอย่างมาก ทำให้ลูกค้าไม่ต้องออกไปตากแดด ตากฝน ฝ่ารถติด เพื่อตามหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งยังเปิดทางเลือกให้ผู้ซื้อมีช่องทางและอิสระที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในสมัยนี้ต่างก็ต้องปรับตัวตามกระแสให้ทัน ถ้าไม่อยากถูกกลืน และเลือนหายไปตามกาลเวลา

สำหรับบทความนี้ ขอหยิบยกตัวอย่างธุรกิจในวงการตลาดของเล่น ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเรียนชั้นดี ที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงการปรับตัวที่ช้าเกินไป จนต้องพบกับความ ‘ล้มเหลว’ และธุรกิจนั้นคือ TOYS “R” US

Toys R Us Logo

TOYS “R” US ยักษ์ใหญ่ของวงการตลาดของเล่น

TOYS “R” US หรือ "Toys Я Us" ร้านขายของเล่นชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1948 หรือ ราว ๆ 75 ปีก่อน ซึ่งถือเป็นเจ้าใหญ่ของวงการและเป็นแลนด์มาร์คแห่งธุรกิจตลาดของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีจำนวนสาขากว่า 1,600 สาขา และมีพนักงานถึง 64,000 คน ใน 38 ประเทศทั่วโลก

จุดเด่นของ TOYS “R” US คือ "ความหลากหลาย" ที่ในร้านมีของเล่นให้เลือกมากกว่า 1,000 ชิ้น รวมถึงยังมีของเล่นที่นำเข้าจากหลายประเทศ และจุดขายที่สำคัญคือ ราคาถูก กว่าคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ ในตลาด 20 - 50% อีกด้วย

จุดเปลี่ยนสำคัญ ของ TOYS “R” US

ในช่วง ค.ศ. 1998 กระแส Social Media และ E-commerce เริ่มมีบทบาทกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น และสิ่งที่เจ้าตลาดของเล่นอย่าง TOYS “R” US ทำพลาดในครั้งนั้น คือ การไม่ปรับตัวให้ทันกระแสของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ในทุก ๆ อุตสาหกรรมเริ่มพากันสร้างตัวตน และสื่อสังคมบนโลกออนไลน์ แต่ TOYS “R” US กลับเลือกที่จะนิ่งเฉย ประกอบกับ ณ ช่วงนั้น Amazon ที่เชี่ยวชาญด้าน E-Commerce เริ่มขยายธุรกิจ ตีตลาดออนไลน์มากขึ้น รวมถึงมีการวางขายสินค้าของเล่นใน Platform ของเขามากกว่าที่ TOYS “R” US มีอยู่ ทำให้ Amazon ได้โอกาสดีในการเปิดตลาด และได้ส่วนแบ่งของตลาดของเล่นออนไลน์ที่กำลังเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว จนทำให้ Amazon ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านช้อปปิ้งอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

สำหรับความนิ่งนอนใจของ TOYS “R” US ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่หลายปี ทั้งเรื่องของการปรับตัวไม่ทันการเข้ามาของ E-Commerce และตลาดของเล่นที่เปลี่ยนไป รวมถึงมีคู่แข่งรายใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็น Walmart, K-Mart หรือ Alibaba ฯลฯ ที่หันมาเพิ่มความหลากหลายให้กลุ่มสินค้าของตัวเอง สุดท้าย TOYS “R” US จึงพบกับบทเรียนและจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญโดยพบกับปัญหาหนี้สินมากมายและในที่สุดบริษัทได้ยื่นขอล้มละลาย และขอเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ในปี ค.ศ. 2018

Toys R Us Closing

จากนั้น เริ่มทยอยปิดตัวสาขาหน้าร้านทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษอย่างถาวร ส่วนกิจการในโซนเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และแคนาดา ได้มีการขายออกไปให้เจ้าอื่นดูแล

TOYS “R” US ... เปลี่ยน ความ "ล้มเหลว" ให้เป็น "ประสบการณ์"

ล่าสุด ช่วงกลางปีที่แล้ว (ค.ศ. 2022) TOYS “R” US ได้หวนคืนตลาดของเล่นในสหรัฐอเมริกาได้อีกครั้ง โดยจับมือกับห้างค้าปลีกเก่าแก่ อย่าง Macy’s ที่มีอยู่มากกว่า 400 สาขา โดยทาง Macy ได้ออกมาประกาศผลประกอบการของห้างว่ายอดขายสินค้าหมวดของเล่น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง 15 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีการร่วมมือกับ TOYS “R” US เลยทีเดียว

สุดท้ายนี้ แม้ว่า TOYS “R” US จะมีจุดที่พลาดไปจนทำให้เส้นทางการทำธุรกิจไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่อย่างน้อย การล้มในครั้งนั้นก็เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้วันนี้ TOYS “R” US ได้บทเรียนและสามารถคัมแบ็กกลับมาได้อย่างเต็มตัว หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ที่กำลังทำธุรกิจให้ว่าอย่ามองข้ามพลังของสื่อออนไลน์และตลาดออนไลน์เป็นอันขาด จะได้ไม่ทำผิดพลาดเหมือนกับ TOYS “R” US

<แนะนำ>

สำหรับใครที่สนใจในเรื่องของการตลาดและสื่อออนไลน์เพิ่มเติม

คอร์ส Digital Marketing ตอบโจทย์คุณ ทั้งเรื่องของการวิเคราะห์ และวางแผน การใช้สื่อออนไลน์ทุกอย่างให้ลงตัว ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ https://eddu.org/digital-marketing-detail/

Reference :

https://www.toysrus.co.th/

https://www.thepeople.co/read/business/51020

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายน เรามักเห็นแบรนด์ดังต่าง ๆ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ หลาย ๆ แห่ง ต่างพากันเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ในช่องทาง Social Media ออกแคมเปญการตลาด หรือสินค้าคอลเลกชันใหม่ ให้เป็น “สีรุ้ง” เพื่อเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride Month 

มีหลายคนที่เข้าใจความหมายของสายรุ้งนี้ แต่ก็มีคนอีกมากมายที่ไม่รู้ หรืออาจไม่เข้าใจ ว่าเทรนด์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงต้องเป็นเดือนมิถุนายน และการแสดงออกของแบรนด์ควรต้องระวังอะไรบ้าง เราลองมาหาคำตอบกันในบทความนี้

การร่วมแสดงออกในเดือน Pride Month ที่แบรนด์ควรระวัง 

สื่อสารและแสดงออกอย่างจริงใจ ไม่ใช่หวังแค่ตัวเลข

เมื่อโลกของเราเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น และในทุก ๆ ปีเริ่มมีแบรนด์เล็ก และใหญ่ ที่เข้ามาร่วมกับกิจกรรม Pride Month ที่มากขึ้น และหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ

จากผลการศึกษาของบริษัท Unilever เมื่อปี 2021 พบว่ากว่า 66% ของเหล่า บุคคล LGBTQ+ ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 34 ปี มีความเห็นว่าแบรนด์ส่วนใหญ่ ร่วมกิจกรรมกับวันแห่งความภาคภูมิใจของพวกเขา เพียงเพื่อหวังในเรื่องของตัวเลข และยอดขายเท่านั้น

ซึ่งการกระทำนี้นอกจากจะไม่ได้ทำให้พวกเขา “อิน” กับแบรนด์ แต่ กลับยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบกับแบรนด์เหล่านั้นมากขึ้นด้วย

ซึ่งสิ่งสำคัญที่แบรนด์ควรทำ นอกเหนือจากการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีรุ้ง หรือทำสินค้าสีรุ้งออกสู่ตลาด คือ การทำความเข้าใจและสนับสนุนพวกเขาอย่างแท้จริง เช่น การทำความเข้าใจถึงความชอบ ความต้องการและออกแบบสินค้าเพื่อพวกเขาอย่างต่อเนื่อง หรือการสนับสนุนการจ้างงาน การเลื่อนตำแหน่งอย่างเท่าเทียม รวมถึงการสนับสนุนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อช่วยเหลือชุมชนของเหล่าผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างแบรนด์ชื่อดัง ที่มีการร่วมเฉลิมฉลองกับ Pride Month ในปี 2023 เช่น

Disney

BELONG BEPROUND PRIDE

ในปีนี้ Disney มีการออกคอลเลคชัน Star Wars Pride ในคอนเซ็ปต์ของ rainbow BB-8 พร้อมเข็มกลัด BB-8 Pride Pin ที่มาพร้อมกับสโลแกน “Belong, Belive, Be Proud” ที่นอกจากแฝงไปด้วยความน่ารักของตัวละครแล้ว เขายังแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับองค์กร "It Gets Better" ซึ่งเป็นองค์กรที่ยกระดับ เพิ่มศักยภาพ และเชื่อมโยงเยาวชน LGBTQ+ ทั่วโลก โดยโครงการ "It Gets Better" นี้เป็นแรงบันดาลใจให้ชาว  LGBTQ+  สามารถแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขาและเตือนเยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป ให้มีความฝันและความหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ

อีกตัวอย่างหนึ่งจากประเทศไทยของเราเอง คือ “ศรีจันทร์” 

แบรนด์เครื่องสำอาง ของคุณ รวิศ หาญอุตสาหะ ที่ในปีนี้ ก็ร่วมเฉลิมฉลอง Pride Month อีกเช่นเคย โดยมีการแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดีย 

SRIMONTH PRIDE

พร้อมกับมีสินค้าที่ออกแบบมาเพื่อคนทุกกลุ่ม รวมถึงเพิ่มสวัสดิการพนักงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม และทุกเพศสภาพ ด้วยแนวคิดที่ว่า เพราะพนักงานคือหัวใจหลัก ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า ประกอบกับภายในองค์กรที่มีคนหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Baby Boomer จนถึง Gen Z และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ มีพนักงานในกลุ่ม LGBT ร่วมงานกับเราถึง 10% จึงพัฒนาสวัสดิการดูแลคุณภาพชีวิตพนักงานให้สอดคล้องกับพนักงานช่วงวัยต่างจึงอยากมอบโอกาสให้กับทุกคนและพร้อมจะสร้างให้เกิดความสุขและรอยยิ้มในทุกๆ วัน

ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ PRIDE MONTH

เดือนมิถุนายน จุดเริ่มต้นของ Pride Month และสายรุ้งของความเท่าเทียม 🏳️‍🌈

แม้ว่า Pride Month นั้นถือเป็นเดือนของสีสันของการเฉลิมฉลอง ที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่มเพศทางเลือก หรือ LGBTQ+ ทั่วโลกที่ต่างพร้อมใจกันออกมาสร้้างสีสัน เดินขบวนพาเรต และแสดงออกถึงความเท่าเทียมกันอย่างสนุกสนาน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้น พวกเขาต้องผ่านเบื้องหลังที่แฝงด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา จากการถูกดูหมิ่นและกีดกันทางสังคมอย่างรุนแรง จนไม่สามารถแสดงตัวตนในที่สาธารณะได้ ต้องคอยหลบหลีกและนัดพบกันตามสถานที่อโคจรในเวลากลางคืน ที่ที่พวกเขาสามารถเปิดเผยตัวตนได้อย่างสบายใจโดยไม่ถูกตัดสินว่าเป็นตัวประหลาด หรือส่วนเกินในสังคม 

จนถึงวันหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน ..ในเช้ารุ่งสางของวันที่ 28 มิถุนายน 1969 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าไปยัง Stonewall Inn ซึ่งเป็นบาร์เกย์ชื่อดัง ในย่าน Greenwich Village

โดยพยายามยัดข้อหาว่าที่บาร์ มีการขายแอลกอฮอล์โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้กำลังทำร้ายลูกค้าภายในร้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ จนเกิดเหตุจลาจลขึ้น เมื่อในครั้งนี้ ผู้คนภายในบาร์เริ่มตอบโต้และลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง 

จากเหตุการณ์คืนนั้น ทำให้มีผู้คนนับร้อยออกมาร่วมเดินขบวนประท้วงกันบนท้องถนน โดยเฉพาะบริเวณคริสโตเฟอร์สตรีท ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Stonewall Inn พร้อมการปะทะกันระหว่างกลุ่ม LGBTQ+ และตำรวจหลายครั้ง และเริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าวและเผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นออกไปจนคนทั่วไปรู้จัก 

การประท้วงครั้งนี้เอง ถือเป็นการจุดประกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศในสหรัฐอเมริกา ข่าวการจลาจลที่สโตนวอลล์ทำให้เกิดกระแสของการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกของชาว LGBTQ+ ในหลายประเทศ  

สำหรับงาน Pride ครั้งแรก เกิดขึ้นในปี 1970 และดำเนินต่อเนื่องนับแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยมีสัญลักษณ์พิเศษคือธงรุ้งจากการประดิษฐ์ของ Gilbert Baker ศิลปินและนักขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนของชาวเกย์ โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากธงชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาในวาระฉลองครบรอบ 200 ปี ในปี 1976 โดยประกอบด้วย 8 สี ได้แก่

PRIDE TONE

หลังจากนั้นได้ถูกลดทอนลงจนเหลือ 6 สี โดยตัดสีชมพู และสีน้ำเงินเข้มออก และใช้กันต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ที่สื่อถึงความหลากหลายในของความเป็นมนุษย์ และย้ำเตือนว่าทุก ๆ คน ล้วนเป็นสีที่ช่วยเติมเต็มสังคมให้สวยงามและน่าอยู่ขึ้น รวมถึงในประเทศไทยของเราเองก็เริ่มมีการร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ ซึ่งปี 2023 ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน และคงได้มีหลากหลายแบรนด์ที่ออกแคมเปญการตลาดให้เราได้เห็นกัน

จากบทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวเคล้าสีสัน ความสนุก และประวัติศาสตร์ที่สำคัญของกลุ่ม LGBT+ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของสิทธิที่เท่าเทียมกันของทุก ๆ คน ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของเพศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้าใจ และยอมรับ ความแตกต่างของเชื้อชาติ สีผิว ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง หรือสถานะทางสังคมอีกด้วย

Reference : 

https://www.cnbc.com/2021/06/20/the-right-way-for-brands-to-approach-pride-month-and-all-year-round.html

http://www.lgbt-capital.com/ 

https://www.facebook.com/srichand1948

https://www.linkedin.com/pulse/asia-you-ready-pink-dollar-david-ko/?trk=pulse-article

https://www.thepinknews.com/2023/05/18/star-wars-pride-collection/

ถ้าพูดถึงแบรนด์กระเป๋า “Street Fashion” ที่ผู้หญิงใช้ได้ ผู้ชายใช้ดี เน้นความ อึด ถึก ทน และแฝงด้วยกลิ่นอายความรักษ์โลก จนครองใจวัยรุ่นสมัยนี้ หลายคนคงนึกถึง FREITAG

FREITAG ความสำเร็จจากความคิดสุดแหวกแนว

จุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้ เกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก ระหว่างการเดินทางไปทำงานของ Markus (มาคัส) และ Daniel Freitag (ดาเนียล) 2 พี่น้อง กราฟิกดีไซเนอร์ ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซูริกเมืองที่ฝนชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ด้วยปัญหานี้เอง ทำให้เขาทั้งสองมีไอเดียในการหากระเป๋าสักใบ ที่สามารถใส่เอกสาร อุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน รวมถึงสิ่งอื่น ๆ พร้อมสามารถสะพายหลังในขณะที่ปั่นจักรยานได้ และที่สำคัญที่สุดคือ ความอึด ถึก ทน เพราะระหว่างการเดินทาง อาจมีสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งในช่วงนั้นเอง ( ปี ค.ศ. 1993) กระเป๋าหลากหลายรูปแบบที่มีวางขายในตลาด ไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของทั้งสองได้

FREITAG Founder
- Daniel และ Markus Freitag - 2 พี่น้องผู้ก่อตั้ง FREITAG

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันถึงไอเดียนี้ พวกเขามองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็นรถบรรทุกผ่านไปมา ซึ่งทุกคันจะมีผ้าใบคลุมตัวรถเอาไว้ โดยฝ่าทั้ง ลม หิน ดิน ฝุ่น ฝน และ พายุ ไม่ว่ารถบรรทุกจะขับไปไหนต่อไหน ผ้าใบก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ถึงแม้ภายนอกของผืนผ้าจะเก่า หรือสกปรก แต่ก็ยังปกป้องสิ่งของภายในรถบรรทุกได้อย่างดี

ดังนั้น Marcus จึงเกิดแรงบันดาลใจชวน Daniel ตระเวนหาซื้อผืนผ้าใบ ทั้งแบบเก่า และ ใหม่ เพื่อนำมาขึ้นแบบ โดยเริ่มตัดเย็บกันเองด้วยมือ พร้อมนำมาผสมผสานกับวัสดุรีไซเคิลอื่นๆ เช่น เลือกใช้ยางในของรถจักรยานเพื่อมาเย็บขอบผ้าใบให้กระเป๋าเป็นรูปทรงได้ รวมถึงใช้เข็มขัดนิรภัยเหลือใช้ มาตัดเป็นสายสะพาย จนทำให้กระเป๋า Freitag ใบแรกถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นต้นแบบของ รุ่น F13 TOP CAT เป็นกระเป๋าทรง Messenger bag ขนาด 30 ตร.ม. อันโด่งดังในปัจจุบัน 

หลังจากที่เขาทั้งสอง นำกระเป๋าไปใช้ เพื่อน ๆ หลายคนที่มหาวิทยาลัยสังเกตเห็น และรู้สึกว่ากระเป๋านี้ ดูเท่มาก ทั้งแปลกแหวกแนว และแตกต่างจากของที่มีอยู่ในตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ จนเกิดเป็นกระแสอยากได้กระเป๋าแบบนี้ขึ้นในมหาวิทยาลัย ทำให้ 2 พี่น้องเริ่มตั้งธุรกิจอย่างจริงจัง  โดยเริ่มจากการรับพรีออเดอร์ เพื่อนคนไหนสนใจ สามารถจ่ายเงินมาก่อนได้ แล้วพวกเขาจะไปหาวัสดุ อุปกรณ์มาตัดเย็บให้ 

ต่อมาคำสั่งซื้อที่เข้ามา เริ่มมีเยอะขึ้น ทำให้พวกเขาเริ่มเห็นโอกาสทางธุรกิจที่มีอยู่ พวกเขาเริ่มเชื่อแล้วว่ากระเป๋าแบบที่กำลังทำไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่เขาสองคนพี่น้อง หรือกลุ่มเพื่อนที่อยากใช้ แต่มีโอกาสที่ขยายไปในระดับโลกได้ด้วย ทั้งสองจึงเริ่มตัดสินใจสร้างธุรกิจโดยจดบริษัทในนามของ FREITAG 

ในช่วงต้นของธุรกิจ พวกเขายังลงมือทำเองในทุกส่วนประกอบ ทั้งการ หาวัตถุดิบ ตัดเย็บ และจัดส่งให้ลูกค้าแต่ละรายด้วยตนเอง เมื่อออเดอร์เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มจ้างโรงงานมาตัดเย็บ โดยที่คุณ Marcus และ Daniel ทำหน้าที่ในการคัดเลือกวัสดุ ควบคุมคุณภาพ ควบคุมการผลิต และออกแบบดีไซน์กระเป๋าแต่ละรุ่น 

หลังจากนั้น FREITAG ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขยายไปเปิดตัวตามร้านต่าง ๆ จนกระทั่งเป็นที่นิยมในสวิตเซอร์แลนด์  และเริ่มวางแผนการตลาดที่มีหลักการมากขึ้น โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเก่า ที่ยังเก๋าจนถึงปัจจุบัน อย่าง STP Marketing 

โดยในบทความนี้จะขอยกตัวอย่างที่ชัดเจน ในเรื่องของ Positioning หรือ “จุดยืนของแบรนด์”

‘ We Think and Act in Cycles ’ 

เป็นคอนเซ็ปต์หลักของแบรนด์ คือ นับตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองคนเริ่มตัดเย็บกระเป๋าใช้กันเอง มาจนถึงวันที่กลายเป็นธุรกิจระดับโลก เขาก็ยังยึดมั่นคอนเซ็ปเดิมคือ การใช้วัสดุรีไซเคิล 100% แม้จะได้รับคำแนะนำจากหลายคนว่า หากเปลี่ยนวัสดุ จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกมากมาย แต่เขาก็ยังยืนยันจะใช้วัสดุรีไซเคิลเท่านั้น  นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะได้แล้ว การใช้วัสดุรีไซเคิลนี้เองที่ทำให้ FREITAG  เป็นแบรนด์ที่มีเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ จนสามารถครองใจสายฮิปทั่วโลกได้ คือ กระเป๋าทุก ๆ ใบ ที่ผลิตออกมาจะมีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน ถือเป็นความต่างผสานกับความเป็นพิเศษ ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ว่า FREITAG ของเขามีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น 

ปัจจุบัน  FREITAG ยังได้แตกไลน์สินค้าออกไปอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ กระเป๋าหิ้ว กระเป๋าสตางค์ ปัจจุบัน Marcus และ Daniel ได้ส่งมอบหน้าที่การบริหารให้ผู้บริหารมืออาชีพ ในการบริหารบริษัทให้ยั่งยืนต่อไป และเขาทั้งสองคน กลับไปทำสิ่งที่ตัวเองรัก คือการออกแบบและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ  ต่อไป

<แนะนำ>

หากใครอยากเริ่มธุรกิจของตัวเอง หรือต้องการองค์ความรู้ในการทำธุรกิจและการตลาด อย่างเช่น การวางกลยุทธ์แบบ STP ที่ 2 พี่น้องเจ้าของ FREITAG ทำจนประสบความสำเร็จ สามารถเรียนรู้ได้ผ่านหลักสูตร Shortcut MBA ที่สอนทุกอย่างที่คนอยากทำธุรกิจให้สำเร็จต้องรู้ แบบ Step-by-step ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/3FYL93N 

Reference :

https://www.freitag.ch/

https://www.labbrand.com/brandsource/going-deeper-than-the-buzz-freitag-keep-moving-forward-like-a-truck

หลายคนอาจสงสัยว่า May the 4th Be with you หรือวันที่ 4 พฤษภาคม ของทุกปี อยู่ดี ๆ กลายเป็น วันสตาร์วอรส์ ได้อย่างไร และเราถอดบทเรียนจากเรื่องของวันนี้ได้อย่างไร ... หาคำตอบได้ในบทความนี้ !!

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นใน วันที่ 4 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1979  เมื่อคุณมาร์กาเรต ฮิลดา แทตเชอร์ (Margaret Hilda Thatcher) ผู้นำพรรคอนุรักษนิยม ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งสหราชอาณาจักร และเพื่อฉลองชัยชนะนี้ ทางพรรคของเธอได้ตีพิมพ์ข้อความลงบนหนังสือพิมพ์ “London Evening News” ว่า

May The Fourth Be With You, Maggie Congratulation

ซึ่งข้อความนี้ ได้สอดคล้องกับ ‘May The Force be with you’ สุดโด่งดัง ของมหาภาพยนตร์ STAR WARS อย่าง ‘𝙈𝙖𝙮 𝙩𝙝𝙚 𝙛𝙤𝙧𝙘𝙚 𝙗𝙚 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝙮𝙤𝙪’ .. ขอพลังจงสถิตย์แก่ท่าน 🍀 ที่มักมีสอดแทรกอยู่ในหนัง STAR WARS ทุกภาค

ส่วนคำว่า May the force be with you มีที่มาจากภาษาละติน ‘dominus vobiscum’ ที่หมายถึง The Lord be with you หรือ จากข้อมูลของเว็บไซต์ Urban Dictionary ระบุว่า การใช้ May the force be with you เป็นการสื่อถึงการส่งผ่านความปรารถนาดีในเชิงอวยพรใครสักคนให้โชคดีและผ่านเรื่องต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี และมักใช้อวยพรเมื่อมีบุคคลที่รัก กำลังเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ - good luck, be well, good fortune, may good things happen to you -

นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยความที่ในเดือน พฤษภาคม เป็นเดือนที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับจักรวาล STAR WARS มากมาย จึงทำให้เหล่าสาวก STAR WARS ต่างพร้อมใจกัน ยกให้ วันที่ 4 พฤษภาคม เป็น วันสตาร์วอลล์ หรือ STAR WARS'S DAY ที่เหล่าแฟนคลับจะรวมตัวกันจัดงานปาร์ตี้ แต่งกายเป็นตัวละครที่ชื่นชอบ รวมถึงใช้ประโยค “May the Fourth Be With You” ในการทักทายกัน รวมถึงร้านค้า สวนสาธารณะ และสถานที่ต่าง ๆ ยังพากันตกแต่งด้วยธีม STAR WARS อีกด้วย

สำหรับในปี 2023 นี้ แม้แต่ทาง Disney Plus เอง ก็ร่วมเฉลิมฉลองวัน STAR WARS ด้วยการปล่อย #StarWarsVisions Volume 2 ให้เหล่าสาวกได้รับชม ผ่านทาง Streaming ของ Disney Plus เท่านั้น

รวมถึง Gardens by the Bay แลนด์มาร์คชื่อดังของสิงคโปร์ก็มีการจัด Campaign เฉพาะกิจให้เหล่าแฟน ๆ ได้มาย้อนวัย และรับชม แสง สี เสียง ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ความสำเร็จทั้งหมดของ STAR WARS คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากขาด George Lucas ผู้กำกับภาพยนต์ และเปรียบเสมือนศาสดาของชาว STAR WARS ซึ่งจากการวางแผนการทำงานที่ดีของเขา ทำให้ George Lucas ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่รวยที่สุด จากการกำกับหนังน้อยที่สุด

George Lucas มีการทำงานด้วยแนวคิด Agile Project Management ที่ดีแม้จะมีแพลนการสร้างหนัง STAR WARS อยู่ในหัวนานแล้ว แต่เขาไม่ได้มุทะลุ ที่จะสร้างหนังออกมารวดเดียวทั้งหมด โดยเลือกทำงานด้วยการวางพล๊อตเรื่องแบบคร่าว ๆ ไว้ก่อน และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพื่อที่จะสามารถนำเรื่องราวไปบิดต่อได้ จนประสบความสำเร็จและครองใจคนทั่วโลก จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ความสำเร็จของ STAR WARS ยังไม่หยุดอยู่ที่ภาพยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ต่อยอดไปสู่การผลิตหนังสือการ์ตูน ของเล่น ของสะสมต่าง ๆ รวมไปถึงสวนสนุก ออกมาสานต่อจักรวาลของ STAR WARS ไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

<แนะนำ>

หากคุณกำลังมองหาเทคนิค แนวคิดหรือเครื่องมือทุ่นแรงที่ช่วยให้ธุรกิจและการทำงาน ประสบความสำเร็จ เหมือนอย่างคุณ George Lucas แนะนำ หลักสูตร Agile Project Management 🔆

หลักสูตรที่จะช่วยให้คุณปรับการทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวมากยิ่งขึ้น และขยายโอกาสทางธุรกิจได้ ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/3FYL93N 

Reference

https://www.starwars.com/news/may-the-4th-be-with-you-cultural-history

https://scifi.radio/2022/05/03/may-is-star-wars-month/

https://disneyworld.disney.go.com/star-wars-galactic-starcruiser/overview/

https://www.daysoftheyear.com/days/star-wars-day/

https://www.urbandictionary.com/

ในประเทศไทยมีร้านพิซซ่าเกิดขึ้นมากมาย การแข่งขันดุเดือด มีร้านอาหารฟิวชั่นที่มีพิซซ่ามาให้คนไทยลิ้มลองกันมากขึ้นทำไม The Pizza Company ถึงยังสามารถคงความเป็นเบอร์ 1 ในใจผู้บริโภคเมืองไทยได้อยู่ตลอด เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังความเป็นเบอร์ 1 ของ The Pizza Company คืออะไร วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องราวกัน

วันนี้พิซซ่ากลายมาเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่คนเลือกทานเวลาหิว หรือถ้าจะบอกว่าพิซซ่ากลายเป็นร้านอาหารหลักที่อาจจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ เวลาที่คนมาเดินห้างก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้าย้อนกลับไป 40 ปีก่อนในวันที่คนไทยยังไม่คุ้นเคยกับอาหารต่างชาติและพิซซ่าก็ยังไม่ได้รับความนิยมขนาดนี้ 

SWOT Analysis Pizza

เกิดอะไรขึ้นกับวงการอาหารเมืองไทยและใครคือผู้ที่ทำให้วัฒนธรรมการกินพิซซ่าแพร่หลายในเมืองไทยมากขนาดนี้ ต้องพูดถึงผู้ชายที่มีชื่อว่า William E. Heinecke นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้มีสัญชาติไทยผู้ก่อตั้งธุรกิจ Minor International ในวันนั้นเขาคือผู้ที่นำ Pizza Hut เข้ามาในประเทศไทยโดยได้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์จาก Tricon Global Restaurant ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำธุรกิจเขาจึงสามารถทำให้พิซซ่าฮัทเป็นที่นิยมของคนไทยและติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว

วิเคราะห์ SWOT Analysis ของร้าน Pizza ทั้งสอง

ถ้าเรามองกันด้วย SWOT Analysis ซึ่งประกอบด้วย Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส) และ Threats (อุปสรรค์) เราจะพบว่ากรณีนี้ Strengths (จุดแข็ง) ของ Minor International เอง คือเข้าใจและเชี่ยวชาญตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน Tricon Global Restaurant ก็มี Weaknesses (จุดอ่อน) คือทรัพยากรณ์ที่จะขยายธุรกิจในประเทศต่างๆ นี่แหละ ดังนั้นดีลที่เกิดขึ้นระหว่าง Minor International และ Tricon Global Restaurant เรียกได้ว่าเป็นดีลที่ลงตัว และแฮปปี้ทั้งสองฝ่าย ในมุมมองของการทำดีลธุรกิจ การนำเสนอครั้งนี้ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จกับทั้งสองฝ่าย

ในช่วงเวลานั้นกลุ่ม Minor เดินหน้าขยายสาขาของพิซซ่าฮัทไปให้ได้มากที่สุด ครอบคลุมทุกจังหวัดมากที่สุดเพราะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทเลยทีเดียว แต่ในวันที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี พอมาถึงปี พ.ศ. 2542 บริษัท Tricon Global Restaurant กลับมองเห็น Opportunities (โอกาส) ว่าถ้าเอากลับมาทำเอง น่าจะได้รายได้และกำไรสูงกว่า เพราะอย่างไรเสีย Minor International ก็เปิดตลาดมาให้แล้ว

Tricon Global Restaurant ก็เลยเปลี่ยนนโยบายว่าจะเอา Pizza Hut กลับไปบริหารด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่ากลุ่ม Minor จะมีเวลาอีกแค่ 1 ปีนับจากนี้จนถึงวันที่หมดสัญญาที่จะสามารถขายพิซซ่าภายใต้แบรนด์ Pizza Hut นี้ได้

ตรงนี้เอง ถ้าเราสังเกตให้ดี Tricon Global Restaurant อาจจะไม่ทันได้ระวัง Threats (อุปสรรค์) ที่จะเกิดขึ้นในการขยายสาขาเอง ไม่ว่าจะเป็นความไม่เชี่ยวชาญในพื้นที่ และความที่ Minor มีลู่ทางต่างๆ ในประเทศไทยดีอยู่แล้ว

เพราะว่าหลังจากนั้นแบรนด์พิซซ่าที่ตัวเองปลุกปั้นมาก็จะต้องคืนกลับไปให้ Tricon Global Restaurant และ 1 ปีหลังจากนั้นพอวันที่หมดสัญญา Pizza Hut ก็ได้เปิดสาขาของตัวเองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งในปีเดียวกันนั่นเองกลุ่ม Minor มีอยู่ 2 ทางเลือกด้วยกันนั่นก็คือการไปหาแฟรนไชส์เจ้าใหม่ หรือปลุกปั้นแบรนด์พิซซ่าที่เป็นของตัวเองขึ้นมา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ Minor เลือกตัวเลือกที่ 2 เป็นเหตุให้ในปี พ.ศ. 2544 พวกเราทุกคนได้เห็นการเปลี่ยนโฉมครั้งยิ่งใหญ่ของร้านพิซซ่าที่เราคุ้นตากันดี นั่นก็คือร้านพิซซ่าเดิมในทำเลเดิมแต่ภายใต้ชื่อใหม่คือ The Pizza Company สีเขียวสะดุดตา ทำให้ทุกคนจดจำแบบใหม่ได้ง่าย 

ด้วยความที่กลุ่ม Minor มีประสบการณ์ในการเสิร์ฟพิซซ่าให้กับคนไทยมาอย่างยาวนานทำให้ The Pizza Company มีความเข้าอกเข้าใจคนไทยมากกว่าก็เลยสามารถที่จะคิดสูตรพิซซ่าปรุงรสให้เข้ากับปากของคนไทยได้ ประกอบกับจำนวนสาขาของ The Pizza Company ที่มีเยอะกว่าอยู่แล้ว นั่นทำให้กลุ่ม Minor มองว่านี่คือแต้มต่อที่ดีที่จะทำให้ The Pizza Company สามารถเริ่มต้นจากจำนวนสาขาที่เยอะกว่า และด้วยความที่มีร้านค้าเยอะกว่านี้เองทำให้ The Pizza Company มองว่าจะกลายเป็น Hub ในการส่งสินค้าไปที่บ้าน

เลยเป็นที่มาที่กลุ่ม Minor ตัดสินใจให้ The Pizza Company มีบริการเดลิเวอรี่หรือส่งถึงบ้านตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน ซึ่งถ้าเราลองย้อนกลับไปก็อาจจะคุ้นเคยกับโฆษณาของ The Pizza Company ที่บอกว่าโทรมาสั่งพิซซ่าที่ 1112 แล้วถ้าส่งช้าให้กินฟรี และจากวันนั้นก็เลยทำให้ The Pizza Company ของกลุ่ม Minor กลายเป็นที่หนึ่งในวงการพิซซ่าแล้วก็กลายเป็นร้านอาหารอันดับ 1 ในดวงใจของใครหลาย ๆ คน

SWOT Analysis ต้องหมั่นทำซ้ำ บ่อยๆ อยู่เสมอ

สำหรับ SWOT Analysis นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ธุรกิจ ต้องทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ในฐานะผู้บริหาร คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ทั้ง 4 ด้าน Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส) และ Threats (อุปสรรค์) อยู่เสมอ

เช่น Minor International เอง ถึงแม้ว่าในวันนี้จะมีร้านอาหารหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่มาจากต่างประเทศ หรือร้านอาหารที่มีเชฟคอยคิดสร้างสรรค์เมนูพิซซ่าให้กับลูกค้ากิน แต่ The Pizza Company ก็ยังทิ้งห่างคู่แข่งรายอื่น ๆ อยู่หลายเท่าตัวทั้งในแง่ของยอดขาย จำนวนสาขาแล้วก็ในเรื่องของ innovation เมนูใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น dipper หรือว่า New York Pizza ที่เปิดตัวมาโดนใจผู้บริโภคอย่างมาก นอกจากนั้นก็ยังมี innovation อื่น ๆ ที่เป็นคนริเริ่มขึ้นมาเอง

อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ก็มีการทดลองใช้โดรนส่งพิซซ่า คือทันทีที่คุณโทรสั่ง 1112 โดรนก็จะบินออกมาจากร้านแล้วมาส่งพิซซ่าถึงหน้าบ้านคุณโดยไม่ต้องรอรถติดเลย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นเพราะว่า The Pizza Company เชื่อในเรื่องของการสร้าง innovation ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอยู่เสมอ อย่างเช่น innovation ของการพัฒนาบริการที่เข้าอกเข้าใจลูกค้า ทำให้ The Pizza Company โดดเด่นแล้วก็แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นอยู่เสมอ เช่น ในช่วงโควิดที่ผ่านมา The Pizza Company ก็ยังเป็นเจ้าแรกที่ทำเรื่อง Zero Touch เดลิเวอรี่ เพื่อให้คนที่สั่งพิซซ่ามากินที่บ้านไม่ต้องกังวลในเรื่องของการสัมผัส ทำให้ร้านอาหารอื่น ๆ เอาไปเป็นต้นแบบ 

แม้กระทั่ง innovation ในเรื่องของการตลาดที่ใช้การพัฒนาบริการแบบเข้าใจลูกค้าจริง ๆ แล้วก็ทำให้ตัวเองแตกต่างจากคู่แข่ง อย่างเช่น แคมเปญซื้อ 1 แถม 1 เนี่ยก็เป็นแคมเปญที่ The Pizza Company เป็นคนคิดขึ้นมาจนปัจจุบันคู่แข่งก็เอาไปทำตามกันทั้งตลาด ทำให้ The Pizza Company ก็ต้องคิดขึ้นไปอีกสเต็ปนึงเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น การออกแคมเปญ 1 แถม 1 พิซซ่าซึ้งๆมาให้เธอ ที่ให้ลูกค้าเลือกข้อความบนพิซซ่าด้วยตัวเองเอง เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แรกที่กล้าคิดกล้าทำความท้าทายโดยคิดถึงความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับ 1 

ช่วงโควิด 19 นาทีในที่หลายคนคิดว่าจะเป็นขาลงของร้านอาหาร แต่ The Pizza Company ก็ยังตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 โดยการสร้าง innovation ของสินค้า เพื่อมาสร้างตลาดใหม่โดยการส่ง New York Pizza xxxl มาให้คนไทยได้ลอง Original Size ของพิซซ่า ทำให้เสมือนว่าไปอยู่นิวยอร์กจริง ๆ จนเกิดเป็นกระแสถึงขนาดที่ว่าพิซซ่าไซส์ใหม่ของ The Pizza Company ใหญ่ถึงขนาดที่ใส่ถุงกลับบ้านไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือเกิดเป็นกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด เพราะสามารถขายไปได้ถึง 2 แสนถาด ภายในเวลา 14 วัน ตอกย้ำความเป็นมือหนึ่งในเรื่องพิซซ่าเมืองไทย นั่นทำให้เราเห็นว่า Minor International มีการวิเคราะห์ SWOT Analysis เพื่อพัฒนาและแก้เกมอยู่เสมอนั่นเอง

เคยมีคนตั้งคำถามว่า ถ้าวันนั้นกลุ่ม Minor ไม่ได้สร้าง The Pizza Company ขึ้นมา ทุกวันนี้ Minor จะขายอะไร 

มีคำตอบที่น่าสนใจนั่นก็คือ ถ้าวันนั้น Minor ไม่ได้สร้าง The Pizza Company แต่ด้วยฝีมือการทำพิซซ่า ไม่ว่าจะสร้างใหม่กี่แบรนด์ แบรนด์นั้นก็จะกลายเป็นแบรนด์พิซซ่าอันดับ 1 ของเมืองไทยอยู่ดี 

4 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้ในเรื่องนี้

  1. SWOT Analysis คือสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้ดี ก่อนตัดสินใจทางธุรกิจไม่ว่าจะเรื่องใด ซึ่งก็จะประกอบด้วย Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส) และ Threats (อุปสรรค์) เราจะพบว่ากรณีนี้ Strengths (จุดแข็ง) ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น
  2. ในวงการธุรกิจมีสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันเกิดขึ้นเสมอ เช่น ช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตโควิดทำให้ทำธุรกิจไม่ได้เลย หรือทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงต่อให้ไม่เกิดโควิดขึ้น วิกฤตต่าง ๆ ก็สามารถมาเยือนเราได้อยู่ดี
  3. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผู้ประกอบการที่ดีคือคนที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยสองมือและ 1 สมอง เหมือนอย่างเช่นที่เราเห็นว่ากลุ่ม Minor International สามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งสำคัญที่ไม่สามารถขายพิซซ่าต่อภายใต้แบรนด์พิซซ่าฮัทที่ตัวเองเนี่ยถือสิทธิ์ Master Franchise แต่สุดท้ายก็สามารถปลุกปั้นแบรนด์ของตัวเองและสามารถประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ได้
  4. การเป็นเบอร์ 1 ว่ายากแล้วแต่การรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ยากยิ่งกว่า ถ้าคุณเป็นเบอร์ 1 แล้วสิ่งที่คุณไม่ทำไม่ได้เลยนั่นก็คือการรักษาความเป็นเบอร์ 1 อยู่ตลอด รวมถึงการออกอะไรใหม่ ๆ คิดอะไรใหม่ ๆ ที่นำหน้าตลาด ตอนคุณเป็นเบอร์รองคุณอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้แค่ลองทำตามก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่ในวันที่คุณเป็นเบอร์ 1 มันเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่ควรจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ลองอะไรใหม่ ๆ เพื่อรักษาความเป็นเบอร์ 1 อยู่เสมอ 

<แนะนำหลักสูตร>

ถ้าใครอยากเริ่มธุรกิจของตัวเองที่ต้องการองค์ความรู้ในการทำธุรกิจแบบ Step-by-step ซึ่งในหลักสูตรมี framework การบริหารทุกแบบที่จำเป็น (SWOT Analysis เป็นเพียง 1 ใน framework ที่สำคัญ ซึ่งมีสอนในหลักสูตร) แนะนำหลักสูตร Shortcut MBA ที่สอนสรุป Mini MBA มีทุกอย่างที่คนอยากทำธุรกิจให้สำเร็จต้องรู้

ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/3FYL93N 

Reference

เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีรายได้ทางเดียว

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การมีรายได้ช่องทางเดียวจากงานประจำเริ่มไม่มั่นคงและไม่เพียงพอสำหรับใครหลายคน อย่างสถานการณ์ Covid-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ทำให้หลายกิจการต้องปิดตัวลงบ้าง หยุดชั่วคราวบาง หลายคนขาดรายได้อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลายคนเกิดความคิดที่ว่า งานประจำเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง ควรมีงานสำรอง หรือ second job ด้วย เพื่อสร้างความมั่นคงกว่าเดิมให้ตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การมีงานที่สองเป็นงานเสริมนั้น ก็ได้เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มีงานเสริมนั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของการทำงานเพื่อความรู้สึกของตัวเอง คือ มีงานประจำไว้เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง แต่ในขณะเดียวกันก็เลือกทำอีกงานควบคู่กันไป เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่รักหล่อเลี้ยงจิตใจและมีผลพลอยได้เป็นรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจนสูสีหรือมากกว่างานประจำด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามมีงานอีกประเภท ที่เรียกว่า งานฟรีแลนซ์ เป็นงานที่มีอิสระ ไม่มีกำหนดตายตัวว่าต้องเข้างานเลิกงานกี่โมง อาจจะไม่มีออฟฟิศประจำ หรือมีก็ได้ สามารถทำงานได้จากทุกที่ สามารถรับงานจากนายจ้างได้หลายๆคน งานฟรีแลนซ์นี้มีความคาบเกี่ยวกับงานที่สองพอสมควร เพราะบางคนที่ทำงานฟรีแลนซ์อาจจะไม่มีงานประจำเลยก็ได้ รับงานหลายๆจ็อบอย่างอิสระ แต่บางคนก็รับทำงานฟรีแลนซ์ในลักษณะที่เป็นสัญญาประจำ เช่น งาน Admin ตอบไลน์ หรือ ทำ Content ลงเพจให้ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน โดยตกลงกันทำงานร่วมกันในระยะยาว

ดังนั้นงานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ ที่เลือกทำกันนั้น จึงมีความคล้ายตรงที่เป็นเหมือนโรงเรียนเล็กๆ ที่ทำให้เราได้ฝึกลองมือซึ่งบางครั้งงานประจำในออฟฟิศก็ไม่สามารถให้สิ่งนี้กับเราได้ บางคนค้นพบตัวเองมากขึ้นจากการทำงานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ โดยอาศัยสิ่งที่ตัวเองสนใจหรือมีความถนัดเป็นพื้นฐาน การได้ลองเอาสิ่งที่รักที่ชอบมาเป็นงานจริงๆ อาจทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเรารักในสิ่งนั้นจริงๆ ซึ่งเป้าหมายของการทำงานเสริม ส่วนมากจะแบ่งได้เป็น 2 ระยะ

1. เป้าหมายระยะสั้น ทำเป็นจ็อบๆ เป็นสัญญาระยะสั้น 1 เดือน 3 เดือน เช่น การทำงานกราฟฟิค ทำโลโก้ ทำแบบแพคเกจสินค้า หรือรับเป็นงานๆไป เช่น แปลงาน รับหิ้วของจากการไปต่างประเทศ การขับ Grab ซึ่งข้อดีของการหารายได้เสริมลักษณะนี้คือ ไม่มีข้อผูกมัด สามารถเปลี่ยนงานเสริมได้เรื่อยๆ อาจจะไม่ได้อินกับงานที่ทำเท่าไหร่นัก แต่ว่าเป็นงานที่เรามีความถนัด เลยคุ้มค่าที่จะทำเพิ่ม

2. เป้าหมายระยะยาว คือ มีอีกอาชีพหนึ่งขนานกันไปกับงานประจำ เช่น ในขณะที่เป็นพนักงานออฟฟิศ ก็เปิดร้านอาหารด้วย หลังเลิกงานก็ต้องเข้าร้านเพื่อไปควบคุมดูแลกิจการให้ดำเนินไปได้ งานเสริมที่มีเป้าหมายระยะยาวอย่างนี้อาจสร้างรายได้ให้มากจนบางครั้งอาจมากกว่าอาชีพหลัก หรือบางครั้งก็สามารถทำเพื่อเติมเต็มความฝันและยังได้คอนเน็กชั่น ประสบการณ์ที่มากกว่าการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว

ส่วนมือใหม่ที่อยากหางานเสริม หรืองานฟรีแลนซ์ทำเพิ่ม ควรเริ่มจาก

  1. ดูจุดประสงค์ในการหางาน ว่าเราหางานเพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรืออยากสนุก อยากทำในสิ่งที่ใจรักแต่ไม่มีโอกาสได้ทำในงานประจำ เมื่อเรารู้จุดประสงค์ที่ชัดเจนแล้ว เราจะสามารถเลือกงาน ออกแบบวิธีการทำงานเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายของเราได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนควรมีงานเสริม บางคนที่เลือกทำงานประจำอย่างเดียวเพราะเขาอาจจะอยากเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนหรือให้กับครอบครัว ดังนั้นการไม่มีงานเสริมก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำงานเสริมเพื่ออะไร
  2. ดูว่าเราถนัดอะไร แล้วลองเริ่มหาความรู้เพิ่มเติมแล้วลงมือทำในสิ่งที่ถนัด เช่น

อย่างไรก็ตามงานเสริมยังมีอีกมากมาย เช่น แปลภาษา ติวเตอร์ ขับ Grab การตัดสินใจเลือกทำงานเสริมอะไรแล้วก็ควรให้ความสำคัญไม่แพ้ไปกับการทำงานประจำ เพื่อให้เกิดวินัยในตัวเอง และเกิดความภาคภูมิใจในงานที่ทำออกมา นำสู่การต่อยอดการมีรายได้ที่มากขึ้นนั่นเอง

ที่มา https://thestandard.co/podcast/ihatemyjob14/

We use cookies, please see our policy and setting

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
linkedin facebook pinterest youtube rss twitter instagram facebook-blank rss-blank linkedin-blank pinterest youtube twitter instagram