เคยสงสัยกันไหมว่าเครื่องสําอางลาแมร์เนี่ยที่มันมีราคาในกระปุกนึงเกือบๆจะ 10,000 บาทมีที่ไปที่มามาจากอะไรเรื่องราวของเขาเป็นยังไงบ้างทำไมถึงสามารถประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้ทั้งหมดนี้วันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง เรื่องราวที่จะเอามาเล่าให้ฟังในวันนี้คือเรื่องราวของแบรนด์เครื่องสำอางที่มีชื่อว่าลาแมร์ โดยจาก official website ของลาแมร์ได้กล่าวว่าประวัติของลาแมร์เนี่ยเริ่มต้นมาจากนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักวิจัยในศูนย์วิจัยอวกาศ ซึ่งก็คือ ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ เนี่ยซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์สัญชาติเยอรมัน ซึ่งดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ เองป็นนักฟิสิกส์อวกาศ นช่วงประมาณปี 1950 เนี่ยได้เกิดอุบัติเหตุ การระเบิดขึ้นระหว่างที่เขาเนี่ยกำลังวิจัยการทำ stabilization หรือว่าการทำการลดแรงสั่นสะเทือน ให้กับยานอวกาศซึ่งวิจัยไว้สำหรับยานอวกาศที่กำลังจะลงจอด
ซึ่งจากเหตุการระเบิดครั้งนั้น ทำให้ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ เนี่ยก็มีแผล อยู่บนตัวเนี่ยแล้วก็ไม่สามารถที่จะรักษาได้ อย่างไรก็ตาม ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ เนี่ยได้ใช้เวลา 12 ปีหลังจากนั้น ในการคิดค้น แล้วก็วิจัยอะไรใหม่ๆขึ้นมาเพื่อที่จะพยายามรักษาแผลของตัวเองอยู่ตลอดเวลาซึ่งก็ปรากฏว่าหลังจาก 12 ปีแห่งความพยายามนั้นเขาสามารถที่จะสร้างสารสกัดตัวหนึ่งขึ้นมา ซึ่งพอใช้สารสกัดตัวนี้แล้วเนี่ยแผลที่เขามี มันถูกรักษา แล้วก็เหมือนกับว่า Restore ผิวเก่าของเขาเนี่ยกลับมาจนแทบจะไม่เหลือร่องรอยของอุบัติเหตุครั้งนั้นเลยซึ่งเขาเนี่ยก็เลยคิดว่าจะเอาสารตัวนี้ เอาออกมาขายสู่ตลาด แล้วก็เป็นที่มาที่เขาเนี่ยตั้งชื่อให้มันว่าครีมเดอลาแมร์ซึ่งด็อกเตอร์ฮูเบอร์ ตั้งใจที่จะให้มันสื่อความหมายว่าเป็นครีมแห่งทะเล ซึ่งครีมนี้ ถูกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1965 ซึ่งเป็นปีที่ลาแมร์เนี่ยถูกวางแบบ official ครั้งแรก ซึ่งคุณเชื่อไหม ว่าหลังจากนั้น 20 ปี ลาแมร์สามารถประสบความสำเร็จเรื่อยมา เพราะว่าคนที่ซื้อครีมไปใช้เนี่ยแล้วรู้สึกติดอกติดใจกับสรรพคุณของลาแมร์ จนบอกต่อๆกัน แล้วคนเนี่ยก็ซื้อลาแมร์ไปเรื่อยๆ
จนในที่สุด ในปี 1991 บริษัท ESTEE LAUDER เนี่ยก็ไปคุยกับลูกสาวของดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ ซึ่งตอนนั้นด็อกเตอร์แมกซ์ได้เสียชีวิตไปแล้ว ก็เลยไปคุยกับลูกสาวว่า ขอซื้อสิทธิบัตร กิจการของคุณพ่อคุณเนี่ยเพื่อที่ว่า ESTEE LAUDER เนี่ยจะได้เอาธุรกิจนี้มาสานต่อ แล้วก็ทำให้มันยิ่งใหญ่ต่อไป ซึ่งดิวนี้ เป็นที่ตกลงมาตั้งแต่วันนั้น ก็เลยทำให้ปัจจุบัน ลาแมร์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของบริษัทที่มีชื่อว่า ESTEE LAUDER ซึ่ง ESTEE LAUDER ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่ใหญ่ในวงการเครื่องสำอางและสกินแคร์ ซึ่งเป็นเจ้าของหลากหลายแบรด์เลย ไม่ว่าจะเป็น MAC , ORIGIN , BOBBI BROWN , CLINIQUE หรือว่า TOM FORD BEAUTY ซึ่งจากความพร้อมแล้วก็ประสบการณ์ของเ ESTEE LAUDERนี่เอง ที่เป็นคนที่จุดชนวนให้ลาแมร์เนี่ยประสบความสำเร็จระดับโลก กลายเป็น Luxury Brand สำหรับเครื่องสำอางแล้วก็สกินแคร์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาและปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ จากข้อมูลที่เราไปว่าดร.แมกซ์ เบอร์เนี่ยเขาได้วิจัยมาตลอด 12 ปี คุณเชื่อไหมว่ามีการเปิดเผยว่าดร.แมกซ์ ฮูเบอร์เนี่ยวิจัยเรื่องนี้ กว่า 6 พันครั้งกว่าที่จะได้สารสกัดที่ดีพอ และเขาพอใจที่กลายมาเป็นสารตั้งต้นของลาแมร์อย่างทุกวันนี้และในปี 2019 มีการประกาศ การวิเคราะห์ว่าละแมร์เนี่ยเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าพุ่งขึ้นไปสูงเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 30,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วและทั้งหมดนี้คือที่ไปที่มาประวัติความสำเร็จของแบรนด์ที่มีชื่อว่าละแมร์ สำหรับคุณ คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ตัวผมเอง มีอยู่ 3 ข้อคิดในการที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้เรื่องแรกในฐานะ ของคนทำธุรกิจถ้าคุณกำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างคนอื่นๆก็อาจจะกำลังมีปัญหาเหมือนกับคุณว่าอย่างเช่นที่ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ เขามีปัญหากับแผลที่เขาเนี่ยได้รับมา และเขานี้ก็มุ่งมั่นทุ่มเท ที่จะวิจัยเพื่อให้ได้สารสกัดตัวนี้ขึ้นมา ซึ่งเอามารักษาของตัวเขาเองและเขาเนี่ยก็ได้เชื่อว่าคนอื่นในโลกนี้ก็อาจจะอยากใช้ครีมนี้เหมือนกันก็เลยเป็นที่มา ของสกินแคร์เครื่องสำอางที่มีชื่อว่าลาแมร์และก็ข้อที่ 2 คำว่าความสำเร็จมันอาจจะไม่ได้มาพร้อมกับคำว่าพยายาม แต่มันมาพร้อมกับคำว่าความพยายามที่มากพอเหมือนอย่างเช่นที่ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ พยายามวิจัย แล้วก็ค้นคว้าสารสกัดต่างๆถึง 6 พันครั้งในช่วงเวลา 12 ปีจนทำให้ได้สารสกัดตัวนี้ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของลาแมร์ และข้อคิดข้อที่ 3 ข้อสุดท้าย นั่นก็คือข้อคิดเหมือนกับที่ผมเนี่ยได้บอกไปในคลิปวิดีโอก่อนหน้านี้ ถ้าสมมุติเราเนี่ยทำของดีขึ้นมาแล้วเราสามารถขายมันได้ให้กับคนกลุ่มนึง แต่บางทีเรายังไม่ได้เข้าใจตลาดอื่นๆไม่ได้เข้าใจคนทั่วโลกบางทีแบรนด์เราอาจจะค่อยๆเติบโต จนเติบโตไปไกลระดับโลกได้ แต่ถ้าเราเนี่ยอยากจะเห็นมันสำเร็จในวันนี้อยากจะเห็นว่าสำเร็จในช่วงอายุของเราหรือว่าลดระยะเวลาความสำเร็จมาบางทีความสำเร็จเหล่านั้นก็อาจจะมาพร้อมกับพันธมิตรคู่คิดที่ดี เหมือนอย่างเช่นที่ลาแมร์ ได้พันธมิตรทางธุรกิจ ที่มาควบรวมกิจการจาก ESTEE LAUDERนั่นก็ทำให้ลาแมร์เนี่ยมีแขนมีขา ในการต่อยอดออกไปสู่ต่างประเทศแล้วก็กลายเป็น Global Brand ได้ในที่สุดทั้งหมดนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากแบรนด์ที่มีชื่อว่าลาแมร์
Reference
ทำธุรกิจอะไรดี วันนี้จะพาไปใช้เครื่องมือที่จะทำให้รู้ว่าธุรกิจอะไรมาแรง ธุรกิจอะไรที่ทำมาแล้วลูกค้าต้องการทั้งประเทศ และเครื่องมือนี้จะบอกได้ว่าสิ่งที่กำลังจะเอามาขายนั้น มีความต้องการมากน้อยแค่ไหน หรืออะไรบ้างที่ไม่ควรเอามาขาย วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง
คำถามที่ว่า ถ้าอยากทำธุรกิจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี มีไอเดียธุรกิจแนะนำไหม หรือพอบอกได้ไหมว่าปีนี้ควรทำอะไร หรือธุรกิจอะไรที่ไม่ควรทำ วันนี้จะพาไปดูสถิติ จะได้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่างแรกอยากจะเล่าให้ฟังก่อนว่า การเริ่มทำธุรกิจ ยากไหม คำตอบคือยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าดูจากสถิติ เราจะพบว่า จากสถิติของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เขาบอกว่า ปีที่แล้วมียอดจดทะเบียนบริษัทสูง แต่ยอดที่ขอปิดบริษัทก็สูงเช่นกัน เชื่อไหมว่าตัวเลขพวกนี้คือครึ่งๆเลย หมายความว่าปีที่แล้วมีคนจดบริษัท 100 บริษัท ปีนี้ก็จะมีบริษัทจากปีที่แล้วประมาณ50-60 คนที่จะปิดบริษัทลง ตัวเลขสะท้อนให้เห็นว่าการเริ่มธุรกิจไม่ได้ยาก แต่ความยากคือจะเริ่มธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้นสิ่งที่ยากกว่าทำให้สำเร็จ คือไอเดียตั้งต้นของธุรกิจ เพราะถ้าไอเดียของเราดีตั้งแต่แรก ก็จะสามารถไปได้ถูกทาง ก็จะสามารถขายดี ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่ถ้าไอเดียแย่ตั้งแต่แรก จะเจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
ฉะนั้นวันนี้จะมาเล่าให้ฟัง ปกติแล้ว ในเคสของเวลาเรียนธุรกิจ จะมีอยู่เคสหนึ่งที่นำมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือเคสเรื่องปั๊มน้ำมัน ปกติถ้าเราพูดถึงปั๊มน้ำมัน ยกตัวอย่างสองประเทศ ประเทศแรกคือประเทศไทย ถ้าสมมติที่ที่เราขับไปจังหวัดนี้เป็นที่ยาวๆโล่งๆ ไม่มีปั๊มน้ำมัน จะมีคนเล็งเห็นโอกาสว่าปั๊มน้ำมันน่าไปเปิด เลยไปเปิดเพื่อให้รถที่สัญจรไปมาจะได้แวะเข้าปั๊มน้ำมัน ตรงนี้แหละประเด็น เพราะว่าในเรื่องเล่าธุรกิจ จะมีเรื่องที่บอกว่า ถ้าสมมติเราเป็นคนไทย เราไปเห็นว่าปั๊มน้ำมันนี้คนเข้าเยอะ สิ่งที่คนไทยจะทำคือ เห็นธุรกิจนี้กำไรเยอะ เราทำบ้างดีกว่า แล้วก็จะเกิดการตั้งปั๊มน้ำมันข้างๆกัน อาจจะตั้งก่อนหน้าหน่อย เพื่อที่ลูกค้าผ่านมาจะได้แวะปั๊มเราก่อน พอเป็นอย่างนั้น หลังจากนั้นอีกคนหนึ่งมาเห็น ถนนเส้นที่มีปั๊มน้ำมันตั้งสองปั๊ม แสดงว่าธุรกิจนี้น่าจะไปได้ดี ก็เลยมาตั้งเป็นปั๊มที่สาม ก็จะเกิดการเปิดธุรกิจต่อๆกันไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รถกับถนนมีอยู่เท่าเดิม ก็จะเกิดการแย่งส่วนแบ่งกันต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเปิดต่อกันสัก 4 ปั๊ม จะเกิดส่วนแบ่งการตลาดที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายธุรกิจก็ฆ่ากันเอง ต้องลดแลกแจกแถม และนั่นคือที่มาว่า ผู้ประกอบการคนไทยหลายคน ใช้กรอบความคิดที่ว่า เห็นคนนั้นทำธุรกิจแล้วมันดี ก็เลยอยากทำบ้าง
ในส่วนของประเทศญี่ปุ่น เจอว่าถนนเส้นนี้มีโอกาสที่จะทำปั๊มน้ำมัน เขาจะมาตั้งน้ำมัน พอคนแรกตั้งปั๊มน้ำมันเสร็จ คนที่สองเห็นปั๊มน้ำมัน เขาเห็นว่าปั๊มน้ำมันเขาเยอะ เขาก็จะมองถึงโอกาสอื่นๆ เช่น การสร้างร้านกาแฟข้างในร้านกาแฟ พอคนอื่นมาเห็นว่ามีทั้งปั๊มน้ำมัน ทั้งร้านกาแฟ ตรงนี้เป็นถนนเส้นใหญ่ เราทำร้านเป็นอู่ซ่อมรถดีไหม ก็ขยายขึ้น กลายเป็นตลาดใหญ่ ต่อยอดไปได้เรื่อยๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้ธุรกิจแต่ละที่เกื้อหนุนกัน เพราะบางคนอยากแวะซุปเปอร์มาเก็ต ก็ได้แวะเติมน้ำมันด้วย แวะซื้อกาแฟด้วย ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่อยากให้เข้าใจก่อนว่า จริงๆแล้วธุรกิจจะไปต่อได้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับกรอบความคิด
ถ้าอย่างนั้นผู้ประกอบการไทยมีอะไรบ้างที่ทำพลาดไป จากรายงานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าปีที่แล้วธุรกิจที่จดทะเบียนมากที่สุด คือธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจที่มีการปิดกิจการมากที่สุดในปีที่แล้วก็คือธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเช่นกัน ธุรกิจที่สองรองจากธุรกิจก่อสร้าง คือธุรกิจเปิดคาเฟ่ ร้านกาแฟ และปิดกิจการเป็นอันดับที่สองเช่นกัน ซึ่งหมายความว่า เปิดเยอะ ปิดก็เยอะ นั่นเพราะว่าหลายครั้งเวลาเราอยากทำธุรกิจ เราเห็นว่าอันนั้นดี คนนั้นทำแล้วรวย เราอยากรวยเหมือนเขา เราไม่กล้าเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าคนนั้นเขาทำแล้ว เราสามารถทำตามได้ ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกอย่างนี้ สมมติวันนี้คุณเกิดที่หมู่บ้านหนึ่ง ที่ทั้งหมู่บ้านทำขนมเค้ก คุณยายทำขนมเค้ก คุณพ่อคุณแม่ทำขนมเค้ก คุณโตมาคุณคิดว่าเด็กคนนี้จะอยากทำอะไร ก็อยากทำขนมเค้ก ซึ่งนี่คือกับดักของผู้ประกอบการ
หลายครั้งเรามีมุมมองที่จำกัด ว่าเราคุ้นเคยกับธุรกิจแบบนี้ เราเห็นว่าธุรกิจแบบนี้สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ คนนั้นทำแล้วประสบความสำเร็จ เราเลยคิดว่าเราทำตามแล้วจะประสบความสำเร็จด้วย ซึ่งก็อาจจะถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ทีนี้วันนี้ แทนที่จะพาไปดูสถิติย้อนหลังว่าที่ผ่านมาว่ามีธุรกิจอะไรเปิด ธุรกิจอะไรปิด ตรงนั้นไม่สามารถบอกอะไรได้ เราจะพามาดูสถิติอีกแบบหนึ่งดีกว่า ว่าจริงๆแล้วในโลกเราตอนนี้ ตลาดกำลังต้องการอะไร มีเครื่องมือหนึ่งที่จะพาทุกคนไปดู จากโทรศัพท์เพียงแค่เครื่องเดียว ซึ่งเครื่องมือตัวนี้เรียกว่า Google Trend วิธีการใช้คือ เปิดเข้าไปที่ Google และพิมพ์ว่า Google Trend ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ Google สร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมสถิติว่าคนค้นหาอะไรเยอะมากน้อยแค่ไหน พอเราดูที่ Google Trend แล้วกดเข้าไป กดเปลี่ยนโลเคชั่นเป็นประเทศไทย ที่รูปลูกโลก มันจะดึงข้อมูลเฉพาะของประเทศไทยขึ้นมาดู พอคุณเปลี่ยนโลเคชั่นเป็นประเทศไทยแล้ว คุณลองป้อนข้อความที่อยากค้นหา เช่น สมมติอยากรู้ว่าจะขายผ้าพันคอดีไหม พิมพ์ค้นหาผ้าพันคอ เขาจะบอก
เทคนิคการใช้งานคือ
กลับไปหน้าแรก แล้วเลื่อนลงมาข้างล่าง Google Trends ไม่ได้บอกว่าคำที่เราค้นหา มีการค้นหาเยอะหรือน้อย แต่Google Trends บอกอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่คนค้นหาล่าสุด มีปริมาณเท่าไร เช่น คีย์เวิร์ด 1MDB มีคนค้นหา ห้าหมื่นครั้ง เสร็จแล้วกลับไปที่หน้าแรก ลองใส่ข้อความที่จะค้นหา เช่น 1MDB คือ เลือกช่วงเวลาตรงประเทศไทยเป็น ช่วงเวลา 7 วันที่ผ่านมา ทีนี้กราฟที่คุณเห็นจะเต็ม หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ Google Trends ไม่ได้บอกจำนวนว่าคนค้นหาปริมาณจำนวนเท่าไร เขาบอกแค่ว่าคนจากหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ค้นหาคำนี้เท่าไรบ้าง กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดูจากกราฟ กราฟที่เต็มร้อย คือคนค้นหา ห้าหมื่นคน หรือจำนวนที่บอกในหน้าก่อนหน้านี้ ทีนี้วิธีดูต่อ ให้เรากดคำว่าเปรียบเทียบที่อยู่ด้านบนประเทศ แล้วกดค้นหา เช่นจะเปรียบเทียบผ้าพันคอ กดค้นหาไป ต่อมา 1MDB คือเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนผ้าพันคอ จากร้อยเปอร์เซ็นต์น่าจะอยู่เพียงแค่ ห้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนวิธีการดูก็เปิดเครื่องคิดเลข เมื่อสักครู่เต็มร้อยคือ ห้าหมื่นครั้งในการค้นหา และผ้าพันคอคือ ห้า ก็จะเป็น ห้าหมื่นคูณกับห้า แล้วหารด้วยหนึ่งร้อย คุณจะพบผลลัพธ์ว่า คนค้นหาเกี่ยวกับผ้าพันคอประมาณ สองพันห้าร้อยครั้งในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา นั่นแสดงว่าคุณเห็นแล้วว่าธุรกิจนี้ มีโอกาสเป็นไปได้
นอกจากนี้ยังสามารถดูได้ว่า ในประเทศไทยมีคนค้นหาข้อมูลนี้จากจังหวัดไหนบ้าง และนี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อทุกๆคน และ Google Trends ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมคือ คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เช่น วิธีพันผ้าพันคอผู้ชาย ผ้าพันคอลายเสือต่างๆ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้รู้ว่าสิ่งไหนที่กำลังมาแรง ทำให้คุณรู้ว่าตลาดกำลังต้องการอะไร ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ดูได้ว่า ณ ขณะนี้ คนกำลังต้องการอะไร ซึ่งนี่คือตัวอย่างเครื่องมือที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนแน่นอน
สมมติว่าเราจะเริ่มทำธุรกิจสักอย่างหนึ่ง เราไม่รู้ว่าจะขายอย่างไรดี นี่คือเครื่องมือที่เป็นประโยชน์
Reference
วันนี้เราอยู่กับ โค้ชของนักธุรกิจ ที่นักธุรกิจหลายคนในประเทศไทย ให้ความนับถือและเชื่อว่า คำแนะนำของท่านจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเริ่มทำธุรกิจ startup SME ทุกๆคน
มุมมองในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จของคุณธนินท์ เจียรวนนท์
ในมุมมองของผม ยุค4.0 startup ที่เขาสำเร็จรวดเร็ว เขาทำในสิ่งที่โลกยังไม่เคยทำ ซึ่งผมเรียกว่า ตัวเบา หรือง่ายๆคือ ยุคใหม่ และตัวหนัก คือวิธีการเก่าๆ ในยุคใหม่นี้ส่วนใหญ่จะทำตัวเบา แล้วความสำเร็จของเขาคือขี่อยู่บนตัวหนัก
รุ่นใหม่ เรื่องใหม่ แน่นอนถ้าเรื่องเก่าที่ผมทำสำเร็จแล้ว เขาต้องเรียนรู้กับผม แต่ยุค4.0 เรากำลังทำของใหม่ ไม่ใช่เอาของเก่าไปเปลี่ยนแปลง ไปปรับปรุง เราต้องต่อยอด ทำของเก่าที่ยังไม่เคยทำ อย่างเช่น สื่อออนไลน์
ตัวเบา คือการต่อยอด ซึ่งไม่ต้องมารับผิดชอบ เหมือนกับตัวหนักที่ต้องเสียเวลานาน ในการผลิตสินค้าออกมา ต้องดูแลหลายขั้นตอน แต่คนรุ่นใหม่ ที่เขาทำสำเร็จ เพราะเขารับของจากร้านขายเพชรที่เป็นต้นทาง นำมาขายบนเว็บไซต์ ติดต่อกับบริษัทระดับโลกให้ได้การรับรองว่าเพชรนี้จริง มีตำหนิอะไรอย่างไร แล้วให้เขานำเพชรมาให้คุณ โดยที่ติดต่อกับบริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เท่านี้คนก็กล้าซื้อแล้ว ตัวเบาไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทั้งค่าดูแลหน้าร้าน ค่าสถานที่ เพียงแค่มีกล้องถ่ายรูปอยู่ที่บ้านก็สามารถทำได้ ถ่ายแล้วขึ้นบนเว็บไซต์โดยที่ใช้เครดิตที่มีอยู่แล้วในโลก เท่านี้ก็สามารถทำธุรกิจได้แล้ว
ซึ่งกลายเป็นว่าธุรกิจที่เป็นตัวเบา มีความสามารถที่จะปรับเปลี่ยน สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าธุรกิจของตัวหนัก
สิ่งที่เราควรจะทำคือเรียนรู้จากสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมเอาประสบการณ์ทั้งชีวิตมาแนะนำให้เรา ซึ่งสามารถที่จะนำไปต่อยอดได้ไกลขึ้น
ตัวเบา ต้องใช้รุ่นใหม่คิด เขาจะมีความรู้ใหม่ๆ เขาจะมีแลกเปลี่ยนความรู้กันกับเพื่อนฝูง แลกเปลี่ยนในอินเทอร์เน็ต อย่างบริษัทGoogle ที่ผมไปรู้มา เขาบังคับพนักงานเขา คุณทำงาน 80% อีก 20% ให้พวกคุณไปคิดอะไรที่มันนอกกรอบ แล้วนำมาเสนอ ถูกผิดไม่เป็นไร แม้กระทั่งแม่บ้านก็ต้องคิด 20% นี้ด้วย
เขาต้องคิดว่าในฐานะแม่บ้าน ว่าเขาจะเสนออะไรใหม่ๆ ผู้บริหารก็มาร่วมฟังด้วย ว่าแม่บ้านมีไอเดียอะไร
เลยกลายเป็นว่า พนักงานสองหมื่นคนนั้น จะกลายเป็นสองหมื่นไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในทุกเดือน
ปัจจุบันนี้คือยุคใหม่ คนยุคเก่าไม่ค่อยฟังเสียงคนยุคใหม่ ยุคเก่ามีขั้นตอนเยอะแยะ กว่าเสียงจะขึ้นมาถึงคนยุคเก่า ในยุค4.0 ผมไม่มีขั้นตอนนั้น ผมให้อำนาจเขา คนทำงานอยู่หน้างาน ผมให้ความรู้เขา หาคนที่เหมาะสมแล้วให้อำนาจเขาเลย ผิดก็แก้ ทำของใหม่ไม่มีใครหรอกไม่ผิด ผิดไม่เป็นไร ผิดวันนี้แก้พรุ่งนี้ ไม่ใช่ทำของเก่า ของเก่ามันมีทางเดินเรียบร้อย มีตำรา มีคู่มือปฏิบัติ แต่ของใหม่มันไม่มี ลองถูกลองผิด
อย่างเช่น ผมสร้างทีมใหม่ ต้องไปเรียนรู้ทั้งทีม รู้เรื่องเดียวกัน รู้เรื่องขาย รู้เรื่องตลาด ทุกคนต้องไปสัมผัส รู้เหมือนกันหมด ถึงจะผนึกกำลังกันได้ ผมไม่รู้เรื่องคุณ คุณไม่รู้เรื่องผม แล้วผมจะช่วยคุณได้อย่างไร ยุค4.0 จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง ผมเลยได้เป็นเถ้าแก่ เพราะเถ้าแก่ต้องรู้ทุกเรื่อง และมีอำนาจในการแก้ไขทันที คำสอนของผมคือ ผิดเป็นครู แต่จะไม่ยอมอยู่เรื่องหนึ่งที่ว่า การผิดแล้วผิดอีก คนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนจะไปทำถูกได้อย่างไร ก็ต้องมาจากผิดแล้วถึงจะถูก ผมทำให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ ต้องให้เด็กมีอำนาจ ให้เขามีโอกาสแสดงความคิดเห็นของเขา โดยไม่ต้องถูกบังคับ ไม่เอาไปอยู่ใต้ผู้นำ
ซึ่งผู้นำคิดไม่เหมือนกันก็ไม่ยอมให้ทำ ความรู้ความเก่งเขาก็ไม่กล้าแสดงออก เขาก็ไม่อยากอยู่ เพราะว่าผู้นำไม่เข้าใจเขา
แต่วิธี 4.0 ที่จะใช้คนเก่ง ต้องสนับสนุนเขา จะให้คนเก่งทำงานแล้วสนุก ทุ่มเท
เรื่องแรกเลยต้องให้อำนาจ ไม่ใช่เงิน เงินเป็นสิ่งที่ต้องใช้ก็จริง แต่เราต้องให้เขาแบบเหมาะสม ถ้าให้ไม่เหมาะสมเขาก็ไปที่อื่น อย่ามองว่าเขาเห็นแก่เงิน เรื่องเงินคือพื้นฐานของมนุษย์
หนึ่งในคำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ คำถามที่ว่า ทำไมเด็กรุ่นใหม่อยู่กับบริษัทไม่นาน
คำตอบคือ เขามีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถไหม เขามีโอกาสที่จะได้ทำอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไหม มีอนาคตไหม
ก่อนอื่นเราต้องทำให้เขาเห็นอนาคต ว่าเวทีนี้ถ้าคุณเก่งนะ เวทีนี้มันยิ่งใหญ่นะ เพราะฉะนั้นบางทีเราจำเป็นต้องทำให้บริษัทยิ่งใหญ่ ไปสู้กับต่างประเทศ เราถึงจะมีโอกาสได้คนเก่งมาทำงานช่วยกัน
คนเก่งถ้าบ่อน้ำมันเล็กไป แต่ปลาตัวใหญ่ก็ต้องไปอยู่ในมหาสมุทร เขาไม่ได้มาอยู่ในบ่อน้ำหรอก มันเล็กไป ฉะนั้นเราต้องเป็นมหาสมุทร ถ้าเราจะเลี้ยงปลาใหญ่ เราจะใช้คนเก่งร่วมมือกับคนเก่ง พัฒนาบริษัท เราต้องให้เขาเห็นอนาคตว่า ถ้าเขาเก่งเขาทำสำเร็จ เขาเติบโตได้อย่างไร ให้อำนาจ ให้เกียรติแล้วก็ให้เงิน
ในหนังสือของผมมีอยู่บทหนึ่ง พูดถึงความไม่ยอมแพ้ ทุกๆอย่างก่อนที่จะสำเร็จได้ ชีวิตคือการต่อสู้ เราต้องมีความมุ่งมั่น ความขยันอดทน ไม่พอยังต้องหมั่นเพียร เราต้องตั้งเป้าหมายแล้วมุ่งให้ได้ตามเป้า
มุมมองในการบริหารการเงินในส่วนของการเงินที่เป็นธุรกิจ
ผมจะไปช่วยเกษตรกรที่ไม่มีเงิน ซึ่งผมไม่ได้อยากจะไปยึดที่ดินเขา ผมจะไปเป็นคนการันตีแบงค์ให้กับเขา แล้วมีเงื่อนไข เพื่อทำให้ที่ผมการันตีนั้นไม่ล้มเหลว ผมนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วย นำตลาดเข้าไป ถ้าเราจะปล่อยหนี้ให้เขา เราต้องไปช่วยเขาว่าเขาจะคืนหนี้ได้อย่างไร เขามีอุปสรรคอะไร เราต้องไปช่วยจัดการตรงนี้ แล้วยังต้องไปสอนเขา ในเรื่องการอย่าใช้เงินเกินตัว เพราะส่วนใหญ่พอมีเงิน มักจะมีคนมายุให้ซื้อของ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ถ้าผมการันตีเขาแล้ว ผมต้องรับผิดชอบ ผมคิดอย่างเดียวว่า ผมต้องทำให้เขาสำเร็จ ผมบอกว่าเราเป็นคู่ชีวิตกัน คำพูดในสมัยนั้น CP กับลูกค้าเป็นคู่ชีวิตกัน ถ้าเขาอยู่ได้เราก็อยู่ได้ เหมือนมันครบวงจร พอเขาได้ทำธุรกิจของที่บ้านเขาได้ สร้างขึ้นมาได้ เขาก็คืนเงินต้นได้ เลี้ยงครอบครัวได้ เขาก็ไม่ต้องมีหนี้มีสิน แล้วก็สอนเขาอย่าไปเพิ่มหนี้ เหมือนในหลวงที่สอนให้พอเพียง พอเพียงของในหลวงคือพอเพียงของแต่ละระดับ ไม่ใช่ว่าให้ทุกคนประหยัดเงิน ไม่ใช้เงิน แล้วสังคมจะเกิดการค้าขึ้นได้อย่างไร เศรษฐกิจก็อัมพาต คนต้องเข้าใจ ฉะนั้นการเงินสำคัญ ถ้าผมจะกู้ให้ใครต้องดูว่าเขาไปรอดไหม ถ้าเขาไปไม่รอด เรากู้ไป วันหนึ่งก็ต้องเกิดปัญหาแน่นอน นอกจากไปเอาดอกเบี้ยสูงๆ มีหนี้เสีย แล้วเขาก็หมดตัว เราก็หมดลูกค้า แต่อย่างนี้เราไปช่วยเขา ถ้าเราจะกู้ให้เขา เราต้องไปดูว่าธุรกิจที่เขาทำ หรือเงินเดือนเขาเป็นอย่างไร เราต้องไปสอนเขา ให้เงินกู้เขาอย่างเดียวไม่พอ เราต้องไปสอนเขาให้พอเพียง อย่าใช้เงินเกินตัว ดีที่สุดคือให้ความรู้เขา ทำให้เขามีรายได้มากขึ้นอีก ใช้ความสามารถ ใช้ความรู้ เสริมความรู้ให้เขา เหมือนกับที่ผมได้ไปช่วยเกษตรกร เขาไม่มีเงิน ผมจะไปเอากำไรจากเขาได้อย่างไร ผมต้องช่วยให้เขาร่ำรวยก่อน แล้วเขาถึงจะมีเงินมาคืนเรา เขาถึงจะมีเงินขยายพื้นที่ เลี้ยงไก่มากขึ้น ผมก็มีโอกาสซื้อไก่มากขึ้น ไปขายต่างประเทศ ขายตลาดภายใน
วิธีของผมคือ อย่างสมัยที่เขาเลี้ยงกันอยู่ ตัวละ20บาท เดือนนึงเฉลี่ยได้หนึ่งพันบาทต่อครอบครัว เลี้ยงได้ร้อยตัว ตัวละ20บาท ผมให้เขาเลี้ยงหมื่นตัว ตัวหนึ่งให้กำไรเขา3บาท ถูกไป17บาท สามารถส่งขายได้เลย แล้วคนเลี้ยงกำไรสามหมื่น เพราะหมื่นตัว ตัวละสามบาทก็สามหมื่นบาท คืนดอกเบี้ยเงินต้น ได้อย่างน้อยหกพันถึงหนึ่งหมื่น คืนแบงค์ ดอกเบี้ยเงินต้น พอเขาคืนเงินต้นเสร็จ ให้เขาเลี้ยงอีกหมื่นตัว คราวนี้สองหมื่น
ข้อคิดสำหรับคนทำธุรกิจใหม่ ที่ใช้ตั้งแต่วันแรกในการทำธุรกิจ CP มาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องหนึ่งความสำเร็จของผม งานแรกของผม ผมไปอยู่สหพันธ์ สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย เป็นผู้จัดการ แล้วก็รองมาเป็นผู้จัดการสหสามัคคีค้าสัตว์ ในเรื่องสัตว์ปีก แล้วก็เลิก จอมพลสฤษดิ์สั่งเลิก ผมก็ตกงาน กลับมาช่วยครอบครัวตอนอายุ25 ผมทำงานตั้งแต่เด็กเลย 21ผมก็เป็นผู้จัดการแล้ว เดินทางต่างประเทศแล้ว แต่พอมาทำอาหารสัตว์ ต้องบอกเลยว่าผมไม่ได้ชอบ ผมชอบการสร้างหนัง ลงทุนเรื่องหนังเป็นผู้กำกับหนัง ชอบมาตั้งแต่เด็ก ชอบถ่ายรูป แต่ถ้าผมเสียเวลากับสิ่งไหนแล้ว ไม่ชอบก็ต้องชอบ ไหนๆเราเสียเวลาแล้ว ก็ต้องไปเรียนรู้ให้รู้จริง ไม่ใช่ผิวเผิน ผมเป็นคนทำอะไรทำจริง ทุกครั้งผมต้องถามว่า แล้วเวลาที่ผมเสียไปผมได้อะไร ผมต้องเรียนรู้ให้เต็มที่ เรียนรู้ให้รู้จริง ต้องไปสัมผัส ต้องไปยอมเสียเวลามากขึ้น ผมทำอะไรผมมีสองเวลา เวลาหนึ่งคือส่วนตัว เสียไปเท่าไรคือความสุขส่วนตัว แต่ถ้าเมื่อไรต้องใช้เงินกับเสียเวลาที่เป็นเวลาส่วนตัวของผมแล้ว ผมต้องคิดว่าแล้วผมได้อะไร ผมอยากจะฝากพวก startup ต้องทบทวนดูว่า เวลาทุกๆวันเราทำอะไรไป เวลาที่เสียไปเอากลับมาไม่ได้แล้วนะ เงินเท่าไรก็ซื้อกลับไม่ได้แล้ว เหมือนวันนี้ผมเอาเงินพันล้านมาซื้อให้ผมอายุน้อยลงอีกสิบปี ก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องเสียดายเวลาที่เราผ่านไป อย่าคิดว่าไม่เป็นไร ไปเที่ยวสนุก สุดท้ายมันไม่ได้สนุก ผ่านแล้วมันก็ผ่านไป แต่เราไปทำงาน เราจะมีงานติดกับเรา จะล้มเหลว หรือสำเร็จก็ตามมันอยู่กับตัวเราแล้ว
การเรียนรู้ใครๆก็เรียนรู้ได้ แต่การรู้จริง เราต้องทำ ทำแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผล ถึงจะเรียกว่ารู้จริง
อีกเรื่องหนึ่งคือ การควบคุมตัวเราเอง ไม่ใช่พอเราเป็นเถ้าแก่ เราจะพักผ่อนก็ได้ ไม่ทำงานก็ได้ ไปเที่ยวก็ได้ เรายังต้องใช้เวลาอันมีค่า เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ต้องใช้เงินให้เหมาะสม ไม่ใช่เรากำไร เงินวันนี้มีแค่นี้ ควรจะซื้อรถ Toyota ไปซื้อแบงค์ นี่คือบริหารเงินไม่เป็น ล้มเหลวแน่นอน startupที่จะสำเร็จแล้ว สุดท้ายต้องควบคุมตัวเอง เหมือนอยากจะสอบทุกวัน ไม่มีใครควบคุมเราแล้ว เราต้องควบคุมตัวเอง ถ้าไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ สำเร็จก็แค่ชั่วคราว
คุณบริหารเงินเป็นไหม นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ถ้าบริหารเงินไม่เป็นสุดท้ายก็หมดตัว กำไรก็ไม่พอใช้ ใช้เงินที่มันไม่เป็นประโยชน์ แน่นอนถ้าเราไปเที่ยว งบประมาณตรงนี้เราต้องมี ไม่ต้องกลัวไม่ห่วง ใช้เที่ยวใช้ให้มันสนุก แต่ถ้ามันเกินควรเมื่อไร จะทำให้เราล้มละลาย ทำให้เราจากสำเร็จกลายเป็นล้มเหลว ส่วนใหญ่startup ถ้าทำสามข้อนี้ได้ถึงจะยั่งยืน
ดังนั้นวันนี้ถ้าเราใช้ทุกวินาทีให้คุ้มสิบปี เหมือนเรากำไรเป็นพันล้าน นี่เป็นข้อคิดที่เด็กรุ่นใหม่น่าจะเอาไปเป็นแรงบันดาลใจได้
เรื่องของโครงการบ่มเพาะที่คุณธนินท์ เจียรวนนท์พูดถึง คือโครงการฟักไข่ สิ่งที่เราจะได้จากโครงการนี้คือประสบการณ์ ชั่วโมงบินของคนเก่งๆ ที่คอยมาโค้ชเรา คอยมาสอนเรา บางครั้งเราทำเองอาจจะใช้เวลากรุยทางสักสิบปี แต่พอมีโค้ช มีผู้ชี้แนะเก่งๆ เราอาจจะใช้เวลาทำแค่สองเดือน สามเดือนแบบนี้ก็สามารถเป็นไปได้
แล้วตอนนี้ True Incube กำลังเปิดรับสมัครรอบใหม่ ซึ่งเปิดรับสมัครในทุกๆปี สำหรับคนที่ทำ startup SME หรือว่ากำลังมีไอเดีย กำลังอยากจะทำธุรกิจ อยากจะมาเรียนรู้ประสบการณ์จากคนเก่งๆเหล่านี้ ไม่ควรที่จะพลาด ในการสมัครเข้าร่วมโครงการนี้
และสำหรับวันนี้ คาดว่าข้อคิดและบทเรียนที่คุณธนินท์ เจียรวนนท์ได้นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลกับทุกๆคน และจะสามารถนำข้อคิดไปปรับ ประยุกต์ใช้กับชีวิตแล้วก็การทำธุรกิจได้
จากกระแส Cryptocurrency ที่ร้อนแรง Vitalik Buterin เด็กหนุ่มชาวรัสเซียที่มีอายุแค่ 27 ปี
ก้าวขึ้นมาเป็นแท่น Billionaire หรือมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์คือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 30,000 กว่าล้านบาท โดยเขาถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีจาก Cryptocurrency ที่ก้าวสู่อันดับ Billionaire เป็นคนแรกของโลก
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือในตอนแรก เดิมทีที่เขาเคยได้ยินคำว่า Bitcoin เขาไม่ได้สนใจมันขนาดนั้นสุดท้ายเขาคือผู้ที่ก่อตั้งหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก Cryptocurrency ปัจจุบัน Viktalik คือผู้ก่อตั้ง Ethereum หรือเหรียญ ETH ที่พวกเรารู้จักกัน เรื่องราวที่ไปที่มาของเขาเป็นยังไงทำไมเขาถึงสามารถกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านได้ตั้งแต่อายุ 27 ปีทั้งหมดวันนี้จะเล่าให้ฟัง
Vitalik Buterin เขาคนนี้คือเด็กหนุ่มชาวรัสเซีย ซึ่ง Vitalik Buterin ก็เคยเปิดเผยกับสาธารณะว่า address หรือว่ากระเป๋าเงินของเขาที่เก็บบรรจุเหรียญอีทีเรียมของเขาไว้เองคือกระเป๋าเงินใบไหนเป็น address อะไร แล้วก็จากการที่เขาเช็คกันล่าสุดในวันจันทร์ที่ผ่านมากระเป๋าสตางค์ขอVitalik Buterin มี อีทีเรียม อยู่ทั้งหมด 333,500 Ether ซึ่งราคาต่อ Ether ก็พุ่งไปประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่าในปัจจุบันมูลค่าของ Ether ก็พุ่งขึ้นไปเป็น 1029 ล้านดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้เขาเป็นมหาเศรษฐีจาก cryptocurrency ที่อายุน้อยที่สุดที่ไปแตะระดับหนึ่งพันล้านดอลลาร์ได้ส่วนจุดเริ่มต้นของVitalik ก็ต้องย้อนกลับไปในวันที่เขาอายุแค่ 17 ปีเท่านั้นหรือว่าประมาณ 10 ปีที่แล้ว โดยประวัติของ Vitalik เขาเกิดในวันที่ 31 มีนาคมปี 1994 หรือประมาณ 27 ปีก่อนคุณพ่อของเขาทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือว่า computer scientist ที่เมืองหลวงของประเทศรัสเซียนั้นก็คือกรุงMoscow แต่ว่าตอนนั้นเขาอายุได้ 6 ขวบ เขาก็ต้องย้ายตามครอบครัวเพราะครอบครัวเขาได้ย้ายไปทำงานที่ประเทศแคนาดากัน ซึ่ง Vitalik ก็เป็นเด็กที่เก่งเรียนดีคนหนึ่ง เป็นคนที่ตั้งใจเรียนมากๆโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่ง Vitalik เองก็เคยสอบแข่งขัน ระดับคณิตศาสตร์โอลิมปิก จนได้เหรียญทองแดงมาอีกด้วยโดยประมาณปี 2012 หรือประมาณเกือบจะ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาก็เก่งพอ ที่จะถูกคัดเลือก เพื่อที่จะเข้าไปทำงาน เป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Bitcoin ซึ่งในเวลานั้นเองให้เขาอายุแค่ประมาณ 17-18 ปีเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่เขาทำงานอยู่ในนั้น เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าสนใจเจ้าตัว Bitcoin เท่าไหร่นัก เพราะตัวเขาเองไงเขาก็มองว่ามันไม่สามารถที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน คือตัวConcept มันดี ที่ทำเป็น Decentralized แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามูลค่าของมันไม่ได้สะท้อนออกมาจากอะไรเลยแล้วราคาของมัน ก็ยังแกว่งขึ้นลงคาดเดาไม่ได้สะท้อนไปถึงคุณประโยชน์อะไรของมัน ซึ่งเขาเองก็มองว่ามันไม่เหมือนมันไม่ดีเท่ากับการลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่เราได้เข้าใจธุรกิจจริงๆว่าธุรกิจนี้ทำอะไรถ้าธุรกิจนี้มันดีกำไรมันดีก็ควรที่จะมีมูลค่าของหุ้นที่มันเพิ่มขึ้นแต่เขายังไม่ได้เข้าใจตรงนั้น ว่า Bitcoin มันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาได้ยังไงแต่ถึงแม้ว่าเขาจะแอนตี้มัน แต่ว่าตอนนั้นเอง หลายๆคนที่อยู่รอบๆตัวเขาก็ได้พูดถึงการทำกำไรจากการขาย Bitcoin ทำให้เขาแล้วก็เริ่มเปิดใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เริ่มมานั่งวิเคราะห์ดูดีๆ เขายังคงเดินหน้าเป็นหนึ่งในทีมที่พัฒนา Bitcoin ขึ้นมา และเขาเองก็ยังเป็นคนก่อตั้งนิตยสารเกี่ยวกับ Bitcoin เพื่อให้ความรู้คน ที่มีชื่อว่า Bitcoin Magazine อีกด้วยซึ่งตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานเป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Bitcoin นี่เอง เขานี้ก็มีชื่อเสียงแล้วก็ผลงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดในเขารางวัล Thiel Fellowship ซึ่งเป็นรางวัลที่เขาจัดให้กับเยาวชน ที่สนใจศึกษาเรื่องราวต่างๆนอกสถาบันการศึกษา ซึ่งเขาก็ได้รับเงินทุนก้อนแรก เป็นจำนวน 100,000 ดอลลาร์ เพื่อที่จะเอาไปพัฒนาอะไรเป็นของตัวเองซึ่งในเวลานั้นเอง เขาก็ตัดสินใจที่อยากจะพัฒนาระบบBlockchain ขึ้นมาเป็นของตัวเองซึ่ง Thiel Fellowship นี่เอง ก็มาจากผู้ชายที่มีชื่อว่า Peter Thiel หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal แล้วก็เป็นคนแรกๆที่ลงทุนในธุรกิจของ Facebook ของMark Zuckerberg อีกด้วยซึ่งจากโอกาสทั้งหมดนี้เองทำให้ 30 กรกฎาคมปี 2015 Vitalik ก็ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แล้วก็รวมทีม เพื่อที่จะเข้ามาพัฒนาตัวอีทีเรียม ให้มันเป็นจริงให้ได้ด้วยจากที่เขามองว่า Bitcoin มันเป็นสิ่งที่มันดี ที่ใช้ Blockchain แต่ว่ามันไม่ได้เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น เขาก็เลยคิดว่าเขาน่าจะสร้าง Blockchain ที่ชื่อว่าอีทีเรียมขึ้นมา เพื่อให้คนต่างๆ สามารถเพิ่ม Code programming เข้ามา ที่เป็น smart contract แล้วก็เอามารันอยู่ในระบบBlockchain Smart contract ที่ว่านี้เอง ก็คือการที่โปรแกรมเมอร์หรือบุคคลต่างๆที่อยากจะสร้างแอพพลิเคชั่น สร้างระบบอะไรสักอย่างขึ้นมาก็พัฒนาโค้ดชุดนึง แล้วก็เอามัน Deploy เอาเข้ามาในระบบBlockchain ของอีทีเรียมนี้แล้วโค้ดชุดนั้น โปรแกรมนั้นก็จะทำงาน ก็จะรันไป ตราบใดที่ Network อีทีเรียมยังทำงานได้อยู่ ซึ่ง Concept ของแพลตฟอร์มนี้ ก็คือการที่เป็น Decentralized นั่นแหละเพราะอีทีเรียม ไม่ได้ตั้ง Server มาเป็น Server กลางเป็นของตัวเอง แต่อีทีเรียมเปิดโอกาสให้คนทั่วโลก ได้เอาคอมพิวเตอร์ของตัวเองมาส่งกำลังกลับเสมือนเป็น Server เครื่องย่อยๆ เครื่องต่างๆทั่วโลกมาช่วยการประมวลผล เปรียบเสมือนเป็น Server เครื่องเล็กๆ หรือถ้าเราจะพูดให้ง่ายๆก็คือเหมือนกับว่ามี Server ตั้งอยู่ทั่วโลกซึ่งก็เป็นที่มา ที่เราเคยได้ยินว่าคนซื้อคอมพิวเตอร์มาขุด Bitcoin ขุดอีทีเรียมก็คือการที่เขาเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาร่วมในระบบBlockchain ของอีทีเรียมนี่แหละ จนในวันที่เขาอายุได้ 23 ปี ตอนนั้นอีทีเรี่ยมก็มีมูลค่าทั้งระบบเลย รวมกันกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและก็ยังเป็นรากฐาน ของ Decentralized Application ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจนทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราว ที่มาที่ไปของผู้ชายที่มีชื่อว่า Vitalik ผู้ก่อตั้ง อีทีเรียมที่ปัจจุบัน ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือว่า billionaire ที่มีอายุน้อยที่สุดในวงการ Cryptocurrency เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับคุณคุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง
ตัวผมเอง มีอยู่ 3 ข้อคิดด้วยกันที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้เรื่องแรก บางครั้งสิ่งที่เรามองเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรแต่ถ้ามองให้ลึกขึ้นไป เราอาจจะเจอบางสิ่งบางอย่างที่เราสามารถพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นไอเดียธุรกิจจนกลายเป็นสิ่งที่สามารถสร้างเงินมหาศาลให้กับเราก็ได้เหมืองอย่างเช่นที่ Vitalik เคยดูถูก Bitcoin ว่ามันไม่มีประโยชน์เลยแต่พอเขาได้เปิดใจเพราะเขาเห็นคนรอบข้างพูดถึงมันมากขึ้นเขาได้สนใจจนกลายเป็นหนึ่งในทีมผู้พัฒนา แล้วก็ได้เรียนรู้เอามาต่อยอดจนกลายเป็นอีทีเรียมอย่างทุกวันนี้แล้วก็ข้อคิดข้อที่ 2 เวลาเราเห็นธุรกิจอะไรสักอย่างนึงที่มีอยู่แล้วบนโลกของเราแทนที่เราจะมัวแต่ไปคิดว่าสิ่งๆนั้นมีคนทำไปแล้วเราไม่ต้องมาทำหรอกกับควรที่จะคิดว่าเอ๊ะถ้ามันมีอย่างนั้นอยู่แล้วเราสามารถที่จะต่อยอดอะไรให้มันดีกว่านั้นหรือเราเห็นจุดอ่อนเราเห็นช่องโหว่อะไรในธุรกิจตัวนั้นเพื่อที่เราจะได้เอามาปั้นเป็นธุรกิจใหม่ๆสร้างเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่ดีกว่าแล้วก็เหนือกว่าเหมือนอย่างเช่นที่ Vitalik มองเห็นว่าตัว Bitcoin เองไม่ได้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มอะไรทางเศรษฐกิจได้เขาก็เลยตัดสินใจที่จะสร้างอีทีเรียมขึ้นมาเป็น Network เป็นแพลตฟอร์มตรงกลาง ให้ใครก็ตามที่มีความคิดอยากจะสร้าง Decentralized Application เอาขึ้นมาดีพลอยเอาขึ้นมาพัฒนาบนแพลตฟอร์มของเขาซึ่งนั่นคือที่มาของข้อคิดข้อสุดท้าย นั่นก็คือเวลาที่เราทำธุรกิจแล้วบางทีการเดินคนเดียวอาจจะไปได้ไกล แต่ถ้าเราเปิดโอกาสให้หลายคนมาร่วมเดินพร้อมกับเราอาจจะไปได้ไกลกว่าเพราะในวันนี้ที่อีทีเรียมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 1 แสนบาทต่อ 1 Ether มันก็เป็นเพราะว่าอีทีเรียมที่เขาสร้างขึ้นมามันไม่ได้เป็น Application แอพพลิเคชั่นเดียวไงมันเป็นระบบ มันเป็นแพลตฟอร์ม Network ที่มีขนาดใหญ่มากๆใครก็ตามที่อยากจะสร้างแอพพลิเคชั่นที่เป็น Decentralized Application ก็แค่พัฒนาแอพพลิเคชั่นมาอยู่บน Network ตัวนี้แน่นอนว่ายิ่งมีคนมาพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่คนก็ยิ่งมาอยู่บน Network นี้มากขึ้นยิ่งคนมาอยู่มากขึ้นโอกาสที่เขาจะเปลี่ยนใจไปใช้อย่างอื่นหรือว่าเลิกใช้ก็มีน้อยลงเท่านั้น นั่นก็เลยเป็นเหตุผล ที่ทำให้อีทีเรียมมีมูลค่าพุ่งขึ้นสูงมาอย่างทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวประวัติที่ไปที่มาของผู้ชายที่มีชื่อว่า Vitalik
Reference
Daiso คือร้านที่ขายของทุกอย่างในร้านในราคา 100 เยน แล้วในประเทศไทยก็เข้ามาทำการตลาดโดยขายของทุกชิ้นเริ่มต้นที่ 60 บาทด้วย Concept นี้ทำให้เจ้าของเขาสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองจากคนที่เป็นหนี้ล้มละลาย แล้วก็สมัครงานไม่ผ่านถึง 9 ครั้งกลายมาเป็นเศรษฐีแสนล้านได้แต่กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ Daiso ต้องผ่านอะไรมาบ้างประวัติที่ไปที่มาเข้าเป็นยังไงวันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง สำหรับแบรนด์ที่ผมจะเอามาเล่าให้ฟังในวันนี้ นั่นก็คือแบรนด์ที่มีชื่อว่า Daiso ร้านขายของที่เริ่มต้นทุกอย่าง 60 บาทที่คนไทยรู้จักกันในประเทศญี่ปุ่นก็รู้จักกันในนามร้านร้อยเยน ก็คือทุกๆอย่างที่ขายในร้านก็จะมีราคา 100 เยนนี่แหละ โดยจุดเริ่มต้นของแบบนี้มาจากผู้ชายที่มีชื่อว่า Hirotake Yanoซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถ้าเราจะนิยามคำว่าประสบความล้มเหลวหลายครั้งมากๆในชีวิตก็คงจะไม่ผิดนักเพราะตัวคุณยาโนะเอง
ตั้งแต่วันที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยเขามีความคิดที่อยากจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยธุรกิจแรกที่เขาทำ คือธุรกิจง่ายๆ ที่ตอนนั้นใครๆทำอะไรก็ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้นก็คือการเพาะพันธุ์ปลามาขายซึ่งสายพันธุ์ปลาที่เขาเลือกที่จะไปเพาะพันธุ์ ก็คือปลาฮามิจิ ซึ่งเค้าก็เลือกที่จะไปเพาะพันธุ์ปลาที่บ้านเกิดของภรรยา แต่ปรากฏว่าธุรกิจที่เหมือนจะง่าย ธุรกิจแค่เพาะพันธุ์ปลา ซื้อพันธุ์ปลามาเลี้ยงปลาแล้วก็เอาปลาไปขายมันกลับไม่ได้ประสบความสำเร็จง่ายอย่างที่เขาคิด เพราะว่ามันมีทั้งเรื่องของปลาไม่ใช่ว่าเลี้ยง 100 ตัวแล้วจะรอด 100 ตัว แล้วก็ปลาไหลก็ต้องมีต้นทุนที่ต้องดูแลน้ำดูแลปลาเรื่องของอาหารเรื่องของวัคซีนยาต่างๆจนทำให้เงินไม่พอใช้คุณยาโนะก็เลยต้องไปกู้เงินที่จะเอามารันธุรกิจนี่เอามาหมุนธุรกิจนี้อยู่เรื่อยๆจนในที่สุดธุรกิจก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดธุรกิจพังลง ล้มไม่เป็นท่าแล้วเขาก็มีหนี้สินอยู่จำนวนมากอีกด้วย
ซึ่งพอเป็นหนี้สินพันตัวขนาดนี้ คุณยาโนะก็เลยไม่มีทางเลือก นอกจากจะไปสมัครงานกับบริษัทต่างๆ โดยคุณยาโนะ เลือกที่จะสมัครงานกับบริษัทเอกชนที่ไหนที่มีงานรับสมัคร เขาก็ไปสมัครงานที่นั่นซึ่งปรากฏว่าทุกที่เข้าไปสมัครเชื่อไหมว่าเขาเข้าไปได้ไม่นานก็ต้องถูกไล่ออกหรือว่าลาออกจากงาน โดยในช่วงเวลาสั้นๆเขาเปลี่ยนงานมากถึง 9 ครั้งด้วยกัน พอยิ่งเป็นแบบนี้นึกถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่นั่นคนญี่ปุ่นตั้งใจทำงาน รักองค์กรอยู่องค์กรไหนแล้วอยู่องค์กรนั้นตลอด นั่นทำให้คุณยาโนะก็โดนมองไม่ดีจากคนรอบข้างด้วยว่าทำไมถึงเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อยขนาดนี้และคนที่เปลี่ยนงานบ่อยแบบนี้จะเอาความมั่นคงจะเอาอะไรไปเชื่อถือคนแบบนี้ได้ แต่ว่าจุดเปลี่ยนก็อยู่ตรงนี้ เมื่อในปีนึงในขณะที่เขากำลังทำงานอยู่ เขาก็ดันไปสังเกตเห็นจักรยาน 10 คันที่หน้าตาเหมือนกันเลยจอดเรียงอยู่หน้าตึก 1 เขาก็เลยสนใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงต้องซื้อจักรยานแบบเดียวกันมาเยอะขนาดนี้ด้วย ก็เลยเข้าไปถามเจ้าของปรากฏว่าเจ้าของเขาก็บอกว่าเหตุผลที่เขาซื้อมาเยอะขนาดนี้เพราะว่าธุรกิจของเขาคือธุรกิจที่จะซื้อของมา แล้วก็ออกของมาให้พนักงานขายใส่จักรยานไป ปั่นไปขายของเคลื่อนที่ก็คือบางครั้งเวลาเราขายอยู่หน้าร้านของเราลูกค้าจะไม่มาเจอเราก็ได้ ดังนั้นเขาก็เลยเปลี่ยนโจทย์ในการเอาสินค้าในใส่จักรยานแล้วก็ปั่นไปเรื่อยๆ ปั่นไปขายคนไหนผ่านไปผ่านมาหรือว่าจักรยานคันนี้ปั่นไปถึงตรงไหนลูกค้าตรงนั้นก็อาจจะมีโอกาสได้ซื้อของของเรา พอคุณยาโนะได้ยินอย่างนี้เขารู้สึกว่านี่คือความคิดที่ชาญฉลาดมาก คุณยาโนะเองก็เลยคิดว่าเขาอยากจะเรียนรู้กับผู้ชายคนนี้ให้ได้มากที่สุดก็เลยขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์จนเมื่อเขามีอายุได้ 29 ปีเขาก็เลยตัดสินใจที่จะเปิดธุรกิจของตัวเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วก่อนหน้านี้นั่นก็คือเขาเปิดร้านของตัวเองที่มีชื่อว่า ยาโนะโชเท็น
โดยในตอนแรกเริ่มของธุรกิจนี้ ก็เป็นธุรกิจที่เขาต่อยอดมาจากผู้ชายได้เข้าไปเรียนรู้เรื่องการทำงานการทำธุรกิจมานี่แหละก็คือเอาของเครื่องใช้ทั่วไปจากที่หาได้ทั่วไปเอามาขาย โดยเน้นการขายของเคลื่อนที่เพราะว่าบางครั้งสินค้าที่ดีที่มันวางอยู่ตรงนี้คนเหล่านั้นคนที่หมู่บ้านข้างๆ ก็อาจจะไม่เคยมาเห็นก็ได้ก็เลยเป็นที่มาที่เขาจะเริ่มต้นจากอะไรที่มันง่ายๆก่อนของที่มันไม่เน่าไม่เสียถ้าสมมุติว่าเอามาแล้วสมมุติขายไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยๆเก็บไว้ในอนาคตขายได้มันก็ยังพอที่จะมีกำไรพอที่จะคืนทุนได้ ไม่เหมือนกับของสดที่ได้มาไม่กี่วันก็เน่าเสียแล้ว เขาก็เลยเริ่มจากการขายหม้อแล้วก็เครื่องมือช่างต่างๆซึ่งเป็นสินค้าที่เขามองว่าทุกบ้านต่อให้บ้านไหนมีหม้ออยู่แล้วก็อาจจะอยากได้หม้อเพิ่มหรือเครื่องมือช่างทุกบ้านก็มีการต่อเติมหรือมีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไปจนมันสึกหรอหรือว่ามันหมดไปก็อาจจะอยากได้ของใหม่ๆเข้าไปเติมก็เลยคิดว่าจะเอาหม้อกับอุปกรณ์ช่างปั่นจักรยานทางรถเคลื่อนที่ไปขายตามที่ต่างๆโดยจุดหลักๆที่คุณยาโนะมักจะเอาไปขายในซึ่งก็มีทั้งจักรยานแล้วก็รถบรรทุกของเขาก็คือเอาไปขายอยู่บริเวณหน้า Super market เพราะเขาบอกว่า Super market เป็นที่ที่คนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องเดินผ่านอย่างน้อยวันละครั้งอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นซื้อของก่อนไปทำงานหรือว่าซื้อของก่อนที่จะกลับเข้าบ้านทุกคนก็น่าจะต้องผ่าน Super marketกันอยู่แล้วดังนั้นถ้าขับรถบรรทุกของเขา จักรยานขายของ ของเขาไปตั้งใกล้ๆ Supermarket ก็อาจจะทำให้เขาขายดีไปได้ด้วย ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นก็คือพอเขาทำอย่างนั้นไปก็เริ่มขายดีเริ่มมีคนซื้อมาเรื่อยๆ มีลูกค้าที่ซื้อบ่อยๆซื้อประจำจนเขาตัดสินใจที่จะเปิดสาขาของตัวเองคราวนี้เปิดเป็นหลักเป็นแหล่งจะได้ไม่ต้องขนไปขนมาแล้วก็เหนื่อยเก็บของให้เก็บร้านทุกวันและจุดเด่นสำคัญอีกอย่างหนึ่งของไดโซะที่ทำให้เขาได้ประสบความสำเร็จอย่างเร็วแล้วคนญี่ปุ่นก็ชอบร้านไดโซะมากๆจนสามารถขยายสาขาในญี่ปุ่นได้กว่า 3000 สาขา แล้วก็ขยายไปทั่วโลกกว่า 4,000 สาขา เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่าตอนที่เขาทำธุรกิจร้าน Daiso ที่ประเทศญี่ปุ่นเขาเริ่มสังเกตคำว่าของที่เอามาขายถึงแม้ว่าเขาจะเอาของใช้มาขายคนก็ซื้อเยอะแต่จริงๆแล้วที่คนมาซื้อร้านของเขาเยอะไม่ใช่เพราะว่าของที่เขาเอามาขายเป็นของใช้ แต่เป็นเพราะราคามันถูก มันไม่ได้แพงจนเกินไปซึ่งเหตุผลที่เขาตั้งราคาทุกชิ้นในราคา 100 เยนก็เป็นเพราะว่าช่วงนั้น ช่วงที่เขาตั้งหลักปักฐาน ตั้งร้านครั้งแรกขึ้นมาเอากับภรรยาในกำลังมีลูกอยู่คนนึง ซึ่งตอนนั้นเองเขาก็วุ่นวายกับการเลี้ยงลูกมาก ถ้าจะต้องมาคิดราคาสินค้าคำนวณราคาสินค้าแปะป้ายราคาแล้วก็เอามานั่งนับว่าชิ้นไหนชิ้นไหนราคาเท่าไหร่บ้างมันน่าจะวุ่นวายน่าดูเขาก็เลยตั้งว่าทุกชิ้น 100 เยนไปเลยละกันโดยที่เขาจะหาของที่มีคุณภาพและก็ดีที่สุดในราคา 100 เยนเท่าที่จะหามาได้เอามาขายในร้าน ซึ่งมันไม่ได้มีแค่เครื่องใช้ แต่มันก็มีไปจนถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง โดยเครื่องสำอางเขาก็ไปหายี่ห้อต่างๆ ไปหาดูว่าคนชอบยี่ห้อไหน ยี่ห้อนั่นราคาเท่าไหร่บ้างมีอะไรที่จะเอามาขายใน Daiso จนสาวๆวัยรุ่นส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น แทบจะเรียกว่าก็เดินทางเข้ามาซื้อของที่ร้านไดโซะนี่แหละเครื่องสำอาง เพราะอยากจะแต่งหน้าหน่อยอยากจะมีแป้งอยากจะมีลิปอะไรก็เขาดูที่ Daiso ดีกว่าการเดินไปที่ร้านเครื่องสำอางที่บางทีกำเงินไปเป็นพันนึงก็อาจจะเอาไม่อยู่แต่มาที่ร้านไดโซะ 100 เยน ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ประมาณแค่ 30 กว่าบาทเท่านั้นเอง ก็จะดูสมเหตุสมผลกับราคาที่ต้องจ่ายไปก็เลยทำให้ Daiso เติบโตจาก Segment เครื่องสำอางมาเยอะพอสมควรเหมือนกัน
นอกจากนั้น Daiso ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องสำอางแต่ก็ยังไปในหมวดหมู่อื่นๆด้วยอย่างเช่นเครื่องเขียน เพราะว่าเขามองว่าคนทั่วไปยิ่งคนญี่ปุ่นใช้เครื่องเขียนเยอะ ใช้กระดาษใช้ดินสอใช้ปากกาอะไรอยู่เยอะแต่ว่าร้านเครื่องเขียนในสมัยนี้มันไม่ได้มีเยอะมันจะเป็นยังไงถ้า Daiso สามารถรวบรวมของดีมีคุณภาพเครื่องเขียนยางลบปากกาไม้บรรทัดสมุดจดกระดาษโน้ตแบบนี้ เอามารวบรวมไว้ในราคาที่เหมาะสมเหตุสมผลแล้วก็จริงๆ คือค่อนข้างถูกด้วยซ้ำไปแล้วก็กระจายสาขาให้ได้มากๆ แบบนั้นได้โสดก็น่าจะเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้ไม่ยากซึ่งจากแนวคิดเหล่านี้ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ Daiso สามารถประสบความสำเร็จและพลิกชีวิตจากผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเปลี่ยนงานถึง 9 ครั้งทำธุรกิจพังไม่เป็นท่าล้มเหลวติดหนี้ล้มละลายจนในที่สุดการเป็นชายที่มีรายได้กว่าแสนล้านบาทได้สำหรับคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง ตัวผมเองมีอยู่ 3 ข้อคิดด้วยกันที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้เรื่องแรกไม่ว่าเราจะทำอะไรครั้งแรกมักจะยากเสมอเหมือนอย่างเช่นที่คุณยาโนะอยากจะเปิดธุรกิจแรกของตัวเองโดยที่คิดว่ามันทำง่ายมากเลยการเพาะพันธุ์ปลาแต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นและแน่นอนว่าถ้าเขาไม่คิดจะลองครั้งที่ 2 เลยไม่คิดจะลองทำธุรกิจที่ 2 ของเขาก็คือร้านไดโซะทุกวันนี้เขาก็คงไม่ได้ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ดังนั้นไม่ว่าครั้งแรกมันจะยากแค่ไหน หรือทำให้คุณล้มเหลวได้ขนาดไหน คุณต้องไม่ลืมว่าคุณควรจะเปิดโอกาสตัวเองให้โอกาสครั้งที่สองกับตัวเองได้ลองทำสิ่งใหม่ๆได้ลองทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่สามารถทำได้แล้วก็ถ้ามันล้มเหลวอีกอาจจะลองให้โอกาสตัวเองครั้งที่ 3 กับที่ 4 ไปเรื่อยๆเพราะไม่มีอะไรการันตีจากสถิติทั่วโลกก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนทำครั้งแรกครั้งที่ 2 แล้วก็ประสบความสำเร็จเลยแล้วก็ข้อคิดที่ 2 แล้วก็น่าจะเป็นข้อคิดที่ผู้ประกอบการหลายๆคนน่าจะเอาไปปรับประยุกต์ใช้ได้นั่นก็คือความช่างสังเกตเป็นมูลค่ามหาศาล เหมือนอย่างเช่นร้านค้าร้านหนึ่งที่มีจักรยานจอดอยู่ข้างหน้าเป็นสิบๆคันทุกๆคนที่เดินผ่านแถวนั้นต่างก็เคยเดินผ่านแล้วเห็นจักรยาน 10 คันนี้แน่ๆแต่ทำไมคุณยาโนะถึงสามารถมองเห็นแล้วสนใจมาไป
คุณเชื่อมั้ยว่านานมาแล้วเคยมีอดีตพนักงาน MSN อยากจะทำ Startup เป็นของตัวเอง
แล้วก็ตั้งบริษัทขึ้นมา แต่ว่าทำไปได้ไม่นานก็ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
ถึงแม้จะประสบปัญหาการเงินที่แทบจะไม่เหลือ สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานั้น ไปเข้าตา Larry Page กับ Sergey Brin เจ้าของ Google แล้ว Google ก็ตัดสินใจว่าขอซื้อกิจการนี้ในมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันนั้นที่หลายคนมองว่า Google จะตัดสินใจไปซื้อบริษัทนี้ทำไม แต่สุดท้ายแล้วบริษัทนี้
ทำให้ Google เนี่ยมีฐานลูกค้าใหญ่ขึ้นถึง 2,500 ล้านคนทั่วโลก บริษัทที่ว่ามานี้คือบริษัทที่มีชื่อว่า Android ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือที่มีทั่วโลกในทุกวันนี้ ประวัติที่ไปที่มาของ Android เป็นยังไง เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ วันนี้จะเล่าให้ฟัง
นั่นก็คือประวัติที่ไปที่มาของบริษัทที่มีชื่อว่า Android Ink จุดเริ่มต้นของ Android
ก็ต้องย้อนกลับไปในปี 2003 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ Steve Jobs จะเปิดตัว iPhone
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพลิกโฉมวงการสมาร์ทโฟนของทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนั้นเองมีบริษัทเล็กๆบริษัทนึงที่ก่อตั้งขึ้นมาชื่อว่า Android Ink โดยผู้ร่วมก่อตั้ง 4 คน
ได้แก่ Rich Miner, Nick Sears, Chris White, และ Andy Rubin ซึ่งพวกเขาเคยทำงานในบริษัทใหญ่ๆบริษัทชั้นนำไม่ว่าจะเป็น MSN หรือว่า Apple ส่วนสาเหตุที่ชื่อบริษัทว่า Android ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาทำงานหนักกัน ทำงานไม่หลับไม่นอน ไม่กินไม่ยอมไปพักผ่อน จนเพื่อนๆของเขาเรียกพวกเขาเป็นเหมือนหุ่นยนต์เลย เป็น Android นั้นเอง พวกเขาก็เลยได้ไอเดียว่าจะเอาชื่อนี้ มาตั้งเป็นชื่อบริษัท
ซึ่งจริงๆ แล้วในตอนที่เขาได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา Android ไม่ได้เป็นบริษัทที่จะผลิตระบบปฏิบัติการให้โทรศัพท์แต่อย่างใด แต่เหตุผลที่พวกเขาจะเปิดบริษัทนี้ขึ้นมา เพราะพวกเขาอยากจะพัฒนาระบบ ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ หรือ Operating System ที่เอาไปใช้ในกล้องดิจิตอล เพราะพวกเขาเห็นว่ากล้องดิจิตอลในสมัยเนี่ยมันมีฟังก์ชันที่มันใช้งานยาก กล้องแต่ละตัวแต่ละยี่ห้อก็ต้องใช้แตกต่างกันไป
ปรับสี ปรับแสงปรับค่าต่างๆ ในกล้องแต่ละตัวมันดูใช้ยากจังเลย พวกเขาก็เลยมีความคิดว่าจะสร้างบริษัท Android ขึ้นมาเพื่อทำระบบปฏิบัติการในกล้องให้มันใช้ง่ายที่สุด นั่นคือไอเดียตั้งต้นของบริษัท Android Ink
แล้วบริษัท Android ก็ได้ Present ไป Pitch ไอเดียนี้ให้กับนักลงทุนหลายๆคน ซึ่งนักลงทุนบางคน
ก็ได้เชื่อในไอเดียนี้ แล้วก็ให้เงินลงทุนกับ Android มาในช่วงแรก แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ได้รับเงินทุนมา พวกเขาทำระบบไปสักพักนึง ตอนนั้นก็ไปเห็นเทรนในการใช้กล้องดิจิตอลเนี่ยมันลดลงเรื่อยๆ
ในขณะที่คนซื้อโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น โทรศัพท์มือถือก็มีกล้องดิจิตอลที่ชัดขึ้น ทำให้คนก็นิยม
น้อยลงมาเรื่อยๆ ตอนนั้นเองเขาก็เลยมาคุยกันว่าจะเอายังไงกับไอเดียโปรเจคนี้ต่อดี จะล้ม Project นี้ไปเลย หรือว่าจะเปลี่ยนมาทำอย่างอื่น ซึ่งตรงนี้เองในภาษา Startup หรือภาษาธุรกิจ เราจะเรียกกันว่า Pivot ซึ่งก็มาจากการเปลี่ยน คือการเปลี่ยนไอเดียจากไอเดียเดิมที่จะทำอีกอย่างนึง เปลี่ยนเป็นทำอีกอย่างนึงเลย
ส่วนการ Pivot Market ก็คือจากแต่ก่อนที่สินค้านี้อยากจะเอาไปขายในตลาดนี้ แต่พอไปลองแล้วตลาดนี้ไม่มีคนอยากได้เลย ลองเอาไปขายตลาดอื่นดู นี่คือการเปลี่ยนตลาด แม้กระทั่ง Pivot Team ก็คือเปลี่ยนทั้งทีมเลย เช่นผู้ร่วมก่อตั้งคุยกันไปคุยกันมาทำงานด้วยกันเนี่ยไม่สนุกแล้ว หรือว่าไม่ได้มีแรงบันดาลใจไม่ได้มีไฟที่จะทำอะไรด้วยกันแล้ว ก็อาจจะเปลี่ยนทีม นี่ก็คือการ Pivot team ซึ่ง Startup ที่ดีคือ Sartup ที่จะไม่จมปลักอยู่กับไอเดียเดิมๆ ตลาดเดิมๆ ถึงแม้ว่ามันจะต้องฝืนธรรมชาตินิดนึง นั่นก็คือเราเนี่ยการเปลี่ยนไปทำอะไรใหม่ๆ มันอาจจะต้องเหนื่อยกว่า ทุ่มเทมากกว่า แล้วก็มีโอกาสล้มเหลวมากกว่า แต่ถ้าสมมุติว่าคุณมองว่า อันใหม่ที่คุณจะไปทำนั้นมีโอกาสมากกว่า คุณก็ควรจะไปลอง นี่คือ ไอเดีย ของการทำ Startup ใน Silicon Valley ก็เลยเป็นที่มาที่พวกเขา 4 คนตัดสินใจที่จะ Pivot ไอเดีย จากไอเดียที่จะทำระบบ Operating System หรือ ระบบปฏิบัติการในกล้องดิจิตอล ก็เปลี่ยนมาทำระบบปฏิบัติการให้กับโทรศัพท์มือถือแทน
โดย Android ก็ถูกพัฒนามาจาก Open source base ซึ่งเป็น Version ที่ Modify มาจาก Linux kernel โปรแกรมที่เป็นศูนย์กลางในระบบ computer ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานตั้งแต่เริ่ม boot server รวมถึงการ start/stop program และ input/output จาก software ทั้งหมด อธิบายคำว่า Open source นิดนึง ปกติแล้วเวลาที่เราเขียนโปรแกรมพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาเนี่ย มันก็จะมี open source คือซอฟต์แวร์แบบเปิด นั่นก็คือพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาแล้ว ใครอยากจะทำอะไรมาต่อ อยากจะพัฒนาไปทางไหน ก็สามารถที่จะเข้ามาเขียน เข้ามาร่วมพัฒนากันได้ มันก็จะทำให้ Platform มันเติบโตไปได้ มันสามารถขยายแล้วก็เก่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะตรงกันข้ามกับซอฟต์แวร์แบบปิดอย่างเช่น iOS ของ Apple ซึ่งก็จะถูกจำกัดว่าการพัฒนา ก็จะต้องมาจากส่วนกลาง มาจากทีมวิจัยและทีมผลิตภัณฑ์ของ Apple เอง ซึ่งมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
การเป็น Open source ก็ทำให้ควบคุมหลายๆอย่างไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ มาตรฐาน อะไรหลายๆอย่าง แต่ว่าถ้าเป็นซอฟต์แวร์แบบปิด เนี่ยข้อเสียก็มีเช่นกัน นั่นก็คือโอกาสที่จะพัฒนาได้เร็วหรือไปได้ไกลเนี่ย ก็อาจจะช้ากว่าซอฟต์แวร์แบบ Open source แต่ว่าอย่างไรก็ตาม จากการที่พวกเขาพยายามทำ Software ขึ้นมาตอนแรก ได้เงินมามีเงินทุนเนี่ย อยากจะทำกล้องดิจิตอล แต่ปรากฏว่าเปลี่ยนไอเดียกลางคัน แบบนี้ก็เลยทำให้ทุนที่เขามีเนี่ยมันไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงบริษัทต่อไปได้ ตอนนั้นเองถึงจุดที่บริษัทใกล้จะถึงจุดต่ำสุด คือแทบจะไม่มีเงินสดเหลือในบริษัทเลย ไม่มีพอที่จะมาจ่ายเงินเดือน จ่ายค่าเช่า จ่ายค่าจ้างพนักงาน ซึ่งทำให้หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งที่มี ชื่อว่ารูบิ้นก็เลยไปถามเพื่อนๆ ว่ามีใครที่เชื่อมั้ยว่า ถ้าผมทำระบบปฏิบัติการ Operating system ที่ชื่อ Android สำเร็จแล้วมันจะกลายเป็นระบบที่สามารถไปอยู่ในโทรศัพท์ ในกระเป๋าทุกคนบนโลกได้ ก็มีเพื่อนหลายคนที่ไม่เชื่อ แต่ก็มีเพื่อนคนนึงที่มีวิสัยทัศน์ แล้วก็มองว่าถ้าไอ้พวกนี้มันทำสำเร็จจริงๆ ก็อาจจะเป็นอย่างที่มันว่าจริงๆก็ได้ก็เลยให้เงินมาเป็นการลงทุนด้วยเงินส่วนตัวจำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300,000 บาท เพื่อที่จะ ต่อลมหายใจของบริษัทไปได้อีกเฮือกหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนคนนี้ ก็คือเพื่อนของรูบิ้นนี่แหละ ที่ชื่อว่า สตีฟเพอแมน ซึ่งเพอแมน ก็ไม่ใช่เศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถังมาจากไหน แต่พอฟังไอเดียของรูบิ้นเสร็จเขาก็เดินไปที่ธนาคารแล้วก็ถอนเงินออกมาได้ทันที
Reference
ทุกคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “Big Data” ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะได้ยินผ่านรายการข่าวทาง free TV เห็นผ่านฟีดระหว่างไถเฟซบุ๊ค หรือแม้กระทั่งอ่านจากข่าวเตือนภัยที่คุณลุงคุณป้าแชร์มาทางกรุ๊ปไลน์รวมญาติก็ตาม ซึ่งหลายคนน่าจะเคยสงสัยเป็นแน่ ว่าคำว่า “Big Data” มันคืออะไรกัน? แถมได้ยินมาอีกว่า หลายแอปฯเก็บรวบรวม และขายต่อกันได้ ในราคาสูงอีกด้วย ..แล้วใครซื้อ? และใครกัน? ที่เป็นคนใช้งานเจ้า “ข้อมูลขนาดใหญ่” นี้ บทความนี้ Eddu จะพาคุณไปรู้จักกับ Big data ให้มากขึ้น และน่าจะคลายข้อสงสัยของทุกคนได้ไม่มากก็น้อย
ข้อมูล (Data) นั้น อยู่รอบตัวเราตลอดทุกที่ และทุกเวลา โดยอยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่ยังไม่ผ่านการรวบรวมและคัดแยก ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย ก็เช่น ข้อมูลกิจวัตรประจำวันของคุณนั่นเอง ตั้งแต่ตื่นนอนเวลากี่โมง ทานอาหารอะไรบ้าง ดูทีวีช่องอะไรบ้าง สินค้าที่ใช้ในแต่ละวัน ฯลฯ รายละเอียดเหล่านี้ ล้วนเป็นข้อมูลที่มีค่าในเชิงธุรกิจหลายๆ ประเภท โดยผู้ต้องการใช้งาน จะรวบรวมข้อมูลพวกนี้มาจากหลายๆ แหล่ง จนกลายเป็น Big Data จากนั้นจะส่งต่อให้ทีมวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) คัดแยกเป็นหมวดหมู่ และเลือกนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจแบบเห็นผลต่อไป
Big Data ทำให้หลายๆ ธุรกิจในยุคปัจจุบันเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนธุรกิจได้จากพฤติกรรมของลูกค้าตัวจริง สินค้าที่ผลิตออกมาตอบโจทย์ได้ตรงจุดมากขึ้น ไม่ใช่การเดาสุ่มเหมือนในอดีต
ในยุคปัจจุบันการใช้งาน Big Data นั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แทบจะทุกแผนกในองค์กรที่จะต้องใช้งานดาต้าเหล่านี้ในการทำงาน ความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ความต้องการในตลาดของสายอาชีพ Data พุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ในหมวดงาน IT โดยในบทความนี้ EDDU จะขอกล่าวถึง “3 อาชีพสาย DATA ที่มาแรงที่สุด” จากผลสำรวจของ ของ Adecco ในปี 2021 ที่ผ่านมา เพื่อแชร์เป็นไอเดียสำหรับผู้สนใจมองหาความก้าวหน้าด้านการงานเกี่ยวกับสาย DATA ครับ
1) Data Analyst หรือ นักวิเคราะห์ข้อมูล
รายได้โดยเฉลี่ย :
ระดับเริ่มต้นในประเทศไทยอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นถึง 140,000-250,000 บาทตามประสบการณ์
Data Analyst นั้นเปรียบเสมือน “มันสมองของบริษัท” ที่จะคอยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลดิบ (Raw Data) จากหลากหลายแหล่งที่มา ทั้ง Primary Sources คือค้นหาด้วยตนเอง หรือ ค้นจากข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมมาแล้วของบริษัท (โดย Data Scientist อีกที) และ Secondary Sources ที่เป็นการใช้ข้อมูลของหน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ มาประกอบกัน แล้วนำมาย่อยออกมาเป็นข้อมูลธุรกิจเชิงลึก (Business Insights) ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ขององค์กร การลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น จนถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนกลยุทธ์การขายเลยทีเดียว นับว่า Data Analyst เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญขององค์กรก็ว่าได้
2) Data Scientist หรือ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล
รายได้โดยเฉลี่ย :
ระดับเริ่มต้นในประเทศไทยอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นเกิน 150,000 บาทตามประสบการณ์
ครั้งหนึ่ง Data Scientist เคยถูกขนานนามจากนิตยสารธุรกิจระดับโลกอย่าง Harvard Business Review ว่าเป็น “อาชีพที่เซ็กซี่ที่สุดในยุคศตวรรษที่ 21” เลยทีเดียว
Data Scientist เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทั้งทักษะทางคณิตศาสตร์ สถิติ และเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มารวมกัน โดยนำทักษะเหล่านี้มาเริ่มต้นตั้งแต่การตั้งคำถามปลายเปิดเชิงธุรกิจ และค้นหาวิธีวิธีแก้ปัญหา โดยรวมรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง คัดกรองเฉพาะที่สำคัญ จัดเรียงและเขียนใหม่ออกมาในรูปแบบของภาพ (Data Visualization) หรือแดชบอร์ด (KPI Dashboard) เพื่อทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยจุดประสงค์หลักของ Data Scientist นั้น คือการคาดการณ์โอกาสทางธุรกิจ และสื่อสารออกมาให้ทีมงานทุกแผนกเข้าใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร (Optimized Existing Products/Operations) ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ของ Big Data
.
3) Data Engineer หรือ วิศวกรข้อมูล
รายได้โดยเฉลี่ย :
ระดับเริ่มต้นในประเทศไทยอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นถึง 140,000-250,000 บาทตามประสบการณ์
มีหัวใจหลักในการทำงานของทีม Data Engineer คือ “การทำให้ Data นั้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคนที่ต้องใช้งาน” อาชีพนี้จึงเปรียบเสมือนต้นน้ำสำหรับงานสาย Data ที่ทุกข้อมูลจะต้องผ่าน Data Engineer ก่อน ที่จะถึงมือ Data Analyst และ Data Scientist ผู้จะมารับช่วงต่อ หากจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ Data Engineer นั้น มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากต้นทาง (Data Source) และนำมาแปลงให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ก่อนจะทำการจัดเก็บในระบบที่วิศวกรข้อมูลเป็นผู้สร้างขึ้นมา อย่าง Data Lake ที่เป็นศูนย์รวมของ Raw Data ทั้งหมด และ Data Warehouse ที่เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลที่ผ่านการแปลงเรียบร้อยพร้อมใช้สำหรับทุกคนในองค์กร
หลังจากทุกท่านได้อ่านบทความมาถึงจุดนี้แล้ว น่าจะพอเข้าใจเรื่องของ Big Data และอาชีพสาย Data มากขึ้นพอสมควรนะครับ ว่าอาชีพสายนี้มีความสำคัญและมีความต้องการสูงมากขนาดไหน โดยเฉพาะในยุคที่แอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งกำลังเฟื่องฟูแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าแอปฯ ชื่อดังต่างๆ ทั้ง Netflix และ YouTube ล้วนมีการนำเอา Data ที่เก็บรวบรวมจากผู้ใช้บริการ ไปออกแบบและพัฒนาแอปฯ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้บริการ (ถึงขั้นรู้ว่า เราน่าจะชอบหนังแนวไหน และอยากดูอะไรต่อไป ) หรือ แอปฯ ธนาคารต่างๆ ที่นำเอา Data มาใช้ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของ Cyber Security เพื่อป้องกันการถูกฉ้อโกงเงินในบัญชี และยังมีอีกหลายอย่างที่ Data Analytics สามารถสร้างได้
หากคุณสนใจอยากลองเริ่มต้นอาชีพสาย DATA หรือคุณอาจจะเป็นเจ้าของกิจการและอยากพัฒนาสินค้าและบริการด้วย Data ที่มีอยู่แล้วก็ตาม ทาง Eddu ก็มีคอร์ส Data Analytic & Visualization ที่จะสอนคุณตั้งแต่เริ่มต้นจนเป็นมือโปรได้อย่างง่ายดาย โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลยเลย!
สมัครเลย!
หลักสูตร
Data Analytics & Visualization
ใช้ Data มาช่วยทำธุรกิจ / การตลาด ในยุค 4.0
แถมให้พิเศษ! สอน Google Data Studio ทำ Data Visualization
หลักสูตร Data Analytics & Visualization 12 ชั่วโมง
ลดพิเศษ เพียง 4,999.- จาก 12,900.-
อ้างอิง
https://youtu.be/yZvFH7B6gKI
https://www.youtube.com/watch?v=uswU1s3M2VE
https://www.sas.com/en_th/insights/analytics/what-is-a-data-scientist.html
https://www.northeastern.edu/graduate/blog/what-does-a-data-analyst-do/
https://www.youtube.com/watch?v=SUTfmhPMZQw
https://blog.datath.com/data-engineer-guide/
https://www.techtarget.com/searchdatamanagement/definition/data-engineer
https://www.brandbuffet.in.th/2018/01/data-scientist-job-in-high-demand/
https://www.marketingoops.com/reports/base-salary-career-2021/
https://today.line.me/th/v2/article/kaDNkq
รอบตัวเราทุกวินาที มี Data จำนวนหลายพันล้านไบท์ถูกสร้างขึ้นมา และถูกจัดเก็บไว้เป็นข้อมูลสำคัญ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Strategic Business Decision)
ในทุกๆ องค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐบาลเอง ก็ให้ความสำคัญกับ Big Data เหล่านี้
แล้วใครกันที่เป็นคนจัดการกับข้อมูลมากมายเหล่านี้?
ก็ไม่พ้นผู้มีอาชีพสาย DATA อยู่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมสายอาชีพ Data ถึงกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Data Analyst หรือ “นักวิเคราะห์ข้อมูล” ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังขององค์กรเลยก็ว่าได้ และเหล่านักวิเคราะห์ข้อมูล จะทำงานโดยขนาดอาวุธสำคัญ ซึ่งก็คือ เครื่องมือ (Tools) ที่จะช่วยทำให้พวกเขาจัดการข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นไม่ได้!
วันนี้ EDDU เลยจะมาแนะนำเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics Tools) ที่ทุกคนในสายงาน Data จำเป็นจะต้องรู้จัก และใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อที่จะช่วยทุ่นแรง และลดระยะเวลาในการจัดการข้อมูลลงอย่างไม่ต้องเหนื่อยเกินไป
ในบทความนี้ EDDU ขอแบ่งเครื่องมือฯ ออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
4 เครื่องมือสำหรับ
การจัดการข้อมูล (Data Management Tools)
1) Excel – ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการจัดการข้อมูลก็ว่าได้ เพราะโปรแกรม Excel เองนั้นสารพัดประโยชน์นอกจากการจัดเก็บ (Storge) และแก้ไข (Edit) แล้ว ตัวโปรแกรมเองยังสามารถวิเคราะห์ Data ได้อีกด้วย ผ่านฟังก์ชั่น Pivot Table, VBA, Solver และ Form เป็นต้น หรือถ้าต้องการจัดการ Big Data ในเชิงลึกก็สามารถดาวน์โหลด Plugins ต่างๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพมาเพิ่มได้ แถมยังสามารถสร้างกราฟนำเสนอข้อมูลได้หลายรูปแบบอีกด้วย เรียกได้ว่า Excel นั้นเป็นเครื่องมือที่ครบเครื่องมากๆ และสามารถเรียกใช้งานได้ง่าย เพราะแทบจะทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ หรือแท็ปเลตนั้น ต้องมีโปรแกรมนี้ติดตั้งในอุปกรณ์อยู่แล้ว
2) Zoho Analytics – เป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือที่น่าสนใจมากที่สุด ด้วยการที่ Zoho Analytics นั้นเป็นซอฟท์แวร์อัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ Big Data ได้ด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่า “Business Intelligence” แถมยังมีผู้ช่วยจักรกลอัจฉริยะ (Artificial Intelligence) ที่ผู้ใช้สามารถถามคำถาม จากนั้น AI จะตอบกลับมาเป็นรีพอร์ตข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว ด้วยกระบวนการอย่าง Machine Learning หรือ NLP
และที่สำคัญ คือ อินเตอร์เฟสของ Zoho Analytics นั้น ออกแบบมาในรูปแบบของ Dashboard ที่ใช้งานได้ง่าย และยังมีเทมเพลตมากมายให้เลือกใช้ เครื่องมือนี้จึงเหมาะกับผู้ใช้งานมือสมัครเล่น หรือคนที่ไม่มีความรู้เรื่องไอทีให้สามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้สะดวกขึ้น
3) Google Analytics – เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มคู่ใจของใครหลายคนที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย Google Analytics นั้นสามารถแสดงผลเมตริก (Metrics) และข้อมูลเชิงลึก (Insights) ที่สำคัญจากเวปไซต์หรือโฆษณา (Google Ads) โดยสามารถปรับแต่งได้ในโหมด Custom และ Automated ซึ่งเลือกที่จะเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเอง หรือการใช้ AI วิเคราะห์แบบอัตโนมัติก็ได้ โดยสามารถลิงก์กับแพลตฟอร์มอื่นๆ ของ Google อย่าง Google Data Studio และ Google BigQuery ได้อีกด้วย ด้วยผลวิเคราะห์ที่ออกมาค่อนข้างเข้าใจง่ายและแม่นยำ จึงทำให้เครื่องมือนี้เป็นที่ถูกใจใครหลายๆ คน
4) Python – เป็นโปรแกรมที่ต้องการความชำนาญในการเขียนโปรแกรม และโค้ดดิ้งพอสมควร แต่ถ้าหากคุณไม่มีปัญหาเรื่องโค้ดแล้วละก็ Python เป็นอะไรที่เหมาะมากในการจัดการ Data ของคุณ จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างก็ คือ Python มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก จึงมีคอมมูนิตี้ที่แบ่งปันโค้ด และซัพพอร์ตกัน จุดนี้จะทำให้คุณประหยัดเวลาในการเขียนโค้ดไปได้มากทีเดียว
3 เครื่องมือสำหรับ
การแสดงผลข้อมูล (Data Visualization Tools)
1) Tableau – หลายๆ คนยกให้ Tableau เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการแสดงผลวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบกราฟ หรือแผนภูมิแบบ Interactive และ Dashboard เพราะไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดใดๆ ใช้ง่ายเพียงแค่ลากและวาง (Drag & Drop Interface) และให้ผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที
โดย Tableau นั้นสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลบนระบบปฏิบัติการอย่าง Mac OS และ Windows อีกทั้งยังจัดเก็บผลงานที่สร้างไว้ลงบน cloud หรือทำงานข้ามแพลตฟอร์มอื่นๆ ของ Tableau ได้อีกด้วย จึง สะดวกที่สุด! เพราะผู้ใช้งานสามารถใช้ Tableau จากที่ไหนก็ได้
2) Microsoft Power BI – หนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมตลอดกาลในสายงาน Data เพราะเพียงแค่คุณมี Windows ก็สามารถเข้าใช้งาน MS Power BI ได้ อีกทั้งโปรแกรมนี้ยังใช้งานง่าย และเต็มไปด้วยฟังก์ชั่นเด็ดๆ โดย Power Bi นั้น สามารถทำงานแบบ Cross-Platform ได้กับแทบทุกโปรแกรมของ Microsoft อีกทั้งยังดึง Data จากฐานข้อมูลต่างๆ อย่าง Excel, Text File และแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Google Analytics, Facebook Insights, SAP HANA และ Hadoop
ผู้ใช้งาน MS Power BI สามารถสร้างข้อมูลในรูปแบบกราฟ แผนภูมิ แดชบอร์ด หรือทำรีพอร์ทเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องโค้ดดิ้ง และโปรแกรมนี้ยังรองรับการ Export ไฟล์ที่แสดงผลได้บน Desktop, Web, Apps แถมยังสามารถจัดการข้อมูล Big Data แบบเชิงลึกได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากอีกด้วย
3) Google Data Studio – เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ เพราะ Google ได้จัดทำคลิปวิดีโอสอนการใช้งานแพลตฟอร์มนี้ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงระดับสูงไว้แล้ว ผู้ใช้งานจึงสามารถฝึกทำ Data Visualization อย่าง Google Data Studio ได้สบายๆ และโปรแกรมนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Google Analytics, Google Ads, Google Search Console และ YouTube ได้อีกด้วย
.
ครบแล้วครับ สำหรับ 7 เครื่องมือฟรี! ที่ช่วยให้งานสาย Data ง่ายขึ้น หวังว่าบทความนี้ ผู้อ่านจะได้ไอเดียที่จะช่วยให้เลือกใช้เครื่องมือได้ตรงใจ ( หรือจะลองดาวน์โหลดมาใช้ทั้ง 7 ตัว เพื่อเพิ่มทักษะด้านวิเคราะห์และนำเสนอก็ยิ่งเจ๋ง ) ส่วนถ้าใครอยากรู้วิธีการเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้ละเอียดยิ่งขึ้นกว่านี้ Eddu ก็มีคอร์สสอนเกี่ยวกับ Data Analytics โดยเน้นไปที่
✅ ทำ Dashboard สรุปข้อมูลให้เข้าใจง่าย นำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
✅ การวิเคราะห์ตลาด มองหาความน่าจะเป็น ตั้งสมมติฐาน และประเมินความได้เปรียบของธุรกิจ ด้วย Data
รับรองว่า คอร์สนี้อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ และพร้อมจะเปลี่ยนให้คุณเป็นมือโปรด้านนี้เลย!
สมัครเลย!
หลักสูตร
Data Analytics & Visualization
ใช้ Data มาช่วยทำธุรกิจ / การตลาด ในยุค 4.0
แถมให้พิเศษ! สอน Google Data Studio ทำ Data Visualization
หลักสูตร Data Analytics & Visualization 12 ชั่วโมง
ลดพิเศษ เพียง 4,999.- จาก 12,900.-
อ้างอิง
https://towardsdatascience.com/10-data-analysis-tools-for-beginners-and-experts-2d083203b06e
https://stepstraining.co/analytics/6-data-analytics-tools-for-marketing
https://hevodata.com/learn/data-management-tools/
https://statanalytica.com/blog/data-analytics-tools/
https://www.softwaretestinghelp.com/data-analysis-tools/#18_Google_Fusion_Tables
https://www.edureka.co/blog/top-10-data-analytics-tools/#randpython
https://digitalbusinessconsult.asia/view/3170/
https://www.techstarthailand.com/blog/detail/Top-6-Data-Analytics-Tools-in-2019/1072
https://www.mandalasystem.com/blog/th/53/big-data-26082020#
https://blog.skooldio.com/4tools-for-data-visualization/
6 ข้อดีของ Data Driven Marketing
ที่จะพาธุรกิจคุณเติบโตแบบก้าวกระโดด
ในยุคดิจิทัลที่อะไรๆ ก็เป็นข้อมูล (Data) ไปซะหมด ไม่ว่าคุณจะขยับตัวไปไหนหรือทำอะไรในโลกออนไลน์ ล้วนเก็บเป็นข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการได้ทั้งนั้น
.
ผมเชื่อว่า คุณต้องเคยเจอเหตุการณ์ที่แค่พูดหรือพิมพ์ชื่อสิ่งที่อยากได้กับเพื่อน ทันใดนั้น.. ของสิ่งนั้นก็โผล่ขึ้นมาในฟีด (Feed) ของคุณ!
.
นี่แหละ คือโลกแห่ง Marketing ที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าที่คุณคิด และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมนักการตลาดและธุรกิจ ควรหันมาใช้ Data Driven Marketing ซึ่งในบทความนี้ Eddu จะพาคุณไปรู้จักกับ “กลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” ที่คุณเองก็สามารถเรียนรู้ และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ เพื่อสร้างรายได้และกำไรได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
Data Driven Marketing คืออะไร?
Data Driven Marketing หรือ การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เกิดจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ข้อมูลจากแคมเปญโฆษณา (Marketing Campaign) การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง (Direct Interaction) การวิจัยด้วยตนเอง หรือผลสำรวจต่างๆ (Research) หรือการใช้เทคโนโลยีในการช่วยค้นหาอย่างแพลตฟอร์มอัจฉริยะอย่าง Trello, Medium หรือ Cognism โดยนักการตลาดจะนำข้อมูลที่ได้นี้ มาวิเคราะห์เพื่อที่จะ ทำความรู้จัก และเข้าใจความคิดจากมุมมองของลูกค้าให้มากขึ้น และต่อยอดนำไปพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างการใช้ Data Driven Marketing ง่ายๆ เลยก็คือ
หากคุณกำลังจะเริ่มขายสินค้าอะไรสักอย่าง คำถามเริ่มต้นก็มี..
คุณจะเริ่มโปรโมทสินค้า และวางแผนเสนอโปรโมชั่นอย่างไร? และทำอย่างไรจะแน่ใจได้ว่า กลุ่มลูกค้าของคุณเห็นโฆษณาของคุณแล้ว? และมั่นใจได้อย่างไรว่า โฆษณาสินค้าของคุณจะได้รับความสนใจ? หรือยอดขายจะได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้?
.
คำตอบของคำถามของเริ่มแคมเปญเหล่านี้จะชัดเจนขึ้น หากคุณมี Data ของลูกค้ามากพอที่จะคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต และมันจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาด (Smart Business Decision) และลดรายจ่ายค่าโฆษณาที่ไม่เกิดประโยชน์ได้มากโขเลยล่ะครับ
.
และนอกจากกำหนดทิศทางของสินค้าและบริการ รวมทั้งวางกลยุทธ์การขายแล้ว แล้ว Data Driven Marketing ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรและพนักงานได้อีกด้วยนะครับ
.
และบทความนี้ Eddu จะพาคุณไปพบกับ 6 วิธี ที่จะใช้ Data Driven Marketing ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณ
1) เพิ่มผลกำไร ด้วยการสร้างความน่าประทับใจให้ User Experience
การศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ Customer Journey หรือ เส้นทางของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนจะเป็นลูกค้า จนตัดสินใจซื้อ รวมถึงการกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำ โดยอาจจะเก็บข้อมูลผ่านการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงของพนักงานขายกับลูกค้า หรือการรับฟี้ดแบคทางออนไลน์ก็ดี ล้วนช่วยทำให้เราทราบถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค และความพึงพอใจของผู้บริโภคได้มากขึ้น
ซึ่งหากแบรนด์หมั่นสอบถามลูกค้าเป็นประจำ และรวบรวมข้อมูลไว้ ก็จะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ มาช่วยเสริมประสบการณ์ของผู้บริโภค (User Experience) ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ หรือสร้างกระแสบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) เพื่อขยายฐานลูกค้าพร้อมทั้งปิดการขายได้ไวขึ้น ซึ่งจะทำให้ยอดขายและผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัด
2) พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ ด้วย Insight Driven Product/Service
Data Driven Marketing นั้นเป็นตัวช่วยของนักการตลาดให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แบบทุกที่ทุกเวลา เช่น โฆษณาที่ปรากฎบนหน้าฟีด Social Media ระหว่างเล่นมือถือ หรือแบนเนอร์ที่ตามติดบนหน้าเวปไซต์ที่คุณกำลังอ่านอยู่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกค้าของคุณแทบจะเห็นแบรนด์ของคุณอยู่ตลอดเวลา และแอคชั่นที่ลูกค้าตอบรับกับโฆษณาเหล่านั้น ไม่ว่าจะ click หรือ reject ก็สามารถนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้โดนใจกลุ่มลูกค้าได้มากกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานที่ดีให้กับแบรนด์ เพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้น (Customer Relationship Management หรือ CRM) และทั้งหมดนี้ยังสามารถนำไปต่อยอดในการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคต
3) เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจเชิงธุรกิจ และการวางแผนกลยุทธ์ (Effective Strategy Planning and Data Driven Decision)
ยิ่งองค์กรของคุณมีฐานของข้อมูลมากเท่าไหร่ การตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ จะยิ่งรวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น จากสถิติของบริษัทวิจัยชั้นนำอย่าง Gartner พบว่า 76% ของนักการตลาดนั้นสามารถตัดสินใจเชิงธุรกิจ (Effective Strategy Decision) ได้ดีขึ้นตามความละเอียดของฐานข้อมูลเชิงลึก (Customer Insight)
ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Personalized Ads) หรือเลือกใช้ช่องทางการโปรโมทแบรนด์แบบเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ได้อย่างตรงจุด
5) ประเมินผลงาน และพัฒนาบุคลากรผ่าน Data Driven Strategy
การนำเอา Data มาผนวกกับ Online Marketing นั้น ทำให้การวัดผลของแคมเปญง่ายขึ้น และชัดเจนมากขึ้น โดยวัดผลได้จาก Conversion ที่ได้กลับมา ( อาจจะเป็นการซื้อ การคลิกอ่าน การแชร์ต่อ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของแคมเปญนั้นๆ ) เทียบกับงบประมาณที่ใช้จ่ายไป
โดยองค์กรที่นำ Data Driven Strategy มาใช้นั้น จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งในขณะเดียวกันผลลัพธ์ของแคมเปญเหล่านี้ ยังสามารถใช้เพื่อประเมินผลงานของนักการตลาดในองค์กรผ่านดัชนีชี้วัดผลงาน (KPI) เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรได้อีกด้วย
6) สร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อผ่านช่องทาง Omni-Channel ให้ดียิ่งขึ้น
Omni Channel คือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าแบบไร้ร้อยต่อ (Seamless User Experience) โดยการรวมทุกช่องทางที่ลูกค้าติดต่อ Brand เข้ามาไว้ในที่เดียว ทั้งหน้าร้าน , Social Media ,Website, Application ต่างๆ ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางไหน ก็จะได้รับประสบการณ์เดียวกันแบบไร้รอยต่อนั่นเอง
และ Data Driven Marketing จะช่วยให้แบรนด์รู้ได้ว่า ช่องทางไหนคือช่องทางที่ดีที่สุดกับกลุ่มลูกค้าของคุณ และเพราะอะไร? ซึ่งคำตอบนี้จะทำให้แบรนด์สามารถเพิ่มความสะดวกสบาย และความรู้สึกพึงพอใจแบบเดียวกันให้ในช่องทางอื่นๆ สิ่งนี้ช่วยให้ลูกค้าเก่าติดหนึบ และขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
.
เรื่องราวของ Data และ Big Data นั้นยังมีอีกมากมายที่เราสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับแบรนด์ได้ โดยเฉพาะในบทความนี้ >> Data Driven Marketing << ที่หากคุณสามารถจับจุดได้อย่างถูกต้อง และนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์ของคุณจะสามารถเข้าใจลูกค้าได้อย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีในการเข้าถึงสินค้า พฤติกรรมในการเลือกบริโภค รวมไปถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในแบรนด์ของคุณ ตลอดไปจนปัญหาอะไรที่ลูกค้ายังคงรอคอยการปรับปรุง (Pain Point) ในช่องทางการติดต่อต่างๆ (Touchpoints)
และถ้าหากคุณพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้ Data Driven Marketing เพื่อนำเทคนิคนี้มาใช้พัฒนาธุรกิจแล้วล่ะก็ EDDU ก็มี หลักสูตร Data Analytics & Visualization ที่ได้รวบรวมทุกกลเม็ดเคล็ดลับที่จะทำให้คุณกลายเป็นเซียน Data และประสบความสำเร็จในยุค 4.0 อย่างรวดเร็วแบบที่คุณไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อนเลย
สมัครเลย!
หลักสูตร
Data Analytics & Visualization
ใช้ Data มาช่วยทำธุรกิจ / การตลาด ในยุค 4.0
แถมให้พิเศษ! สอน Google Data Studio ทำ Data Visualization
หลักสูตร Data Analytics & Visualization 12 ชั่วโมง
ลดพิเศษ เพียง 4,999.- จาก 12,900.-
อ้างอิง
https://www.cognism.com/what-is-data-driven-marketing
https://www.demandjump.com/blog/what-is-data-driven-marketing
https://www.makethunder.com/data-driven-marketing-definition-examples/
https://www.marketingevolution.com/marketing-essentials/data-driven-marketing
https://www.adverity.com/data-driven-marketing
https://www.gartner.com/en/documents/3883171
ในยุคที่ต้องยอมรับว่า สิ่งแรกที่เรามักจะทำหลังจากกด snooze นาฬิกาปลุกบนสมาร์ทโฟน ก็คือ การเปิด IG หรือ Facebook เผื่อไถฟีด “อัพเดทเรื่องราวใหม่ๆ” ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างที่หลับ ซึ่งบางครั้งการต้อง “เห็นรูปหรือไฟล์ที่ไม่คมชัด” ก็พาลทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย
.
ในขณะเดียวกัน หากคุณเป็นแบรนด์ หรือแอดมินเพจที่มีหน้าที่ดูแลช่องทางการติดต่อที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ อย่าง Social Media แล้วล่ะก็ การอัพโหลดรูปที่ผิดสัดส่วนนั้น คงมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์อย่างแน่นอน แต่เมื่อคุณได้อ่านบทความนี้ รับรองว่า ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปเพราะ Eddu จัดมาให้แล้ว! สำหรับขนาดและความละเอียดภาพ เวอร์ชั่นอัปเดตล่าสุดปี 2022 ที่จะช่วยให้แอดโฆษณาบน Facebook และ Instagram ของแบรนด์คุณสวยสะดุด ปั๊วปัง ไม่มีพัง ไม่มีพลาดแน่นอนครับ!
INSTAGRAM
จำเอาไว้ว่า ขนาดที่ดีที่สุด สำหรับโพสต์รูปลง IG นั้น คือ
สี่เหลี่ยมจตุรัส หรือ ขนาด 1080 x 1080 pixels นั่นเอง
REF : missyano.com
แต่หากจำเป็น คุณก็สามารถโพสต์รูปเดี่ยวเป็นทรงแนวตั้ง และแนวนอนในแสดงผลในฟี้ดได้ โดยขนาดและสัดส่วนที่เหมาะสมก็ คือ
นอกจากรูปเดี่ยวๆ แล้ว Instagram ยังสามารถโพสต์หลายรูปพร้อมกันได้ด้วย (หรือเรียกว่า Carousel) ซึ่งในฟังก์ชันนี้ ต้องเช็คขนาดรูปให้เท่ากันก่อนโพสต์ เพราะหากโพสต์รูปต่างขนาดกัน ทุกรูปจะถูกครอปตัดให้เท่ากับรูปแรก ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อความที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสารในรูปบางส่วนขาดหายไป จุดนี้ต้องระวังให้ดีทีเดียว!
.
IG STORY
อีกฟีเจอร์หนึ่งที่เป็นที่นิยมมากจน เรียกได้ว่า ฮอตฮิตแซงการโพสต์รูปแบบปกติไปแล้ว นั่นก็คือ Instagram Stories และ Highlights ที่ช่วยให้แบรนด์นำรูปหรือวิดีโอที่เคยอัพโหลดเอาไว้ก่อนหน้านี้ มาปักหมุดบนสุดของหน้าแอปฯ ให้ผู้สนใจเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เรียกว่า ลูกค้าไม่มีพลาดทั้งโพสต์โปรโมชั่น และอีเว้นท์ต่างๆ แน่นอน ซึ่งอัตราส่วน และขนาดที่แนะนำสำหรับ IG Story คือ 9 : 16 หรือ 1080 x 1920 px และแสดงผลเป็นแนวตั้งเท่านั้น ( หากรูปหรือคลิปสั้นกว่าขนาดดังกล่าว จะถูกต่อขอบบนล่างจนเต็มขนาด 9 : 16 ) และความยาวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับ IG Story คือ 15 วินาที หากยาวกว่านั้นจะถูกตัดแบ่ง และต่อคิวโชว์เป็น Story ถัดไป
.
Instagram Video หรือ IGTV
หลังจาก Instagram ได้รวม IGTV และหน้าฟีดหลักเข้าด้วยกันโดยไม่มีการแยกตัวฟีเจอร์นี้ออกไป ฟอร์แมตของแพลตฟอร์มก็ได้เปลี่ยนเป็น ‘Instagram Video’ เป็นที่เรียบร้อย โดยสามารถโพสต์คลิปที่มีความยาวได้สูงที่สุดถึง 10 นาทีเลยทีเดียว แต่คลิปบน Instagram Video จะแสดงผลที่หน้าฟีดหลักเพียง 1 นาทีเท่านั้น หากต้องการชมต่อ ผู้ชมจะต้องคลิกถึงจะเข้าไปชมคลิปเต็มได้
Instagram Video นั้น สามารถอัปโหลดคลิปที่มีขนาดเท่ากับการโพสต์รูปเดี่ยวเลย คือ
โดยที่ความละเอียด (Resolution) ขั้นต่ำของวิดีโอคือ 600 pixels
และเรื่องสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ รูปหน้าปกของ IGTV จะมีความแตกต่างจากขนาดรูปอื่น ๆ เล็กน้อย โดย อัตราส่วน คือ 1 : 1.55 และขนาดที่แนะนำ คือ 420 x 654 px
REF : veed.io
.
REEL
เรียกได้ว่าเป็นหมัดเด็ดของ Instagram ในการต่อสู้กับคู่แข่งสำคัญอย่าง TikTok เลยก็ว่าได้ เพราะ Reel เป็นฟังก์ชันอัปโหลดคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่กำลังมาแรงแซงทุกแพลตฟอร์ม โดยขณะนี้ reel สามารถเลือกกำหนดเวลาโพสต์คลิปได้ที่ 15 / 30 / 45 และยาวที่สุด คือ 60 วินาที
สำหรับขนาดและสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Reel คือ 9 : 16 หรือ 1080 x 1920 px และเป็นแนวตั้ง
.
FACEBOOK
ด้วยความที่คนไทยส่วนใหญ่นั้นใช้ Facebook กันเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก การแชร์รูปที่ขนาดถูกต้องและโดดเด่น จะสามารถดึงดูดผู้สนใจให้เข้ามาดูโพสต์ของคุณได้มากขึ้น (Reach) ซึ่งนั่นก็หมายถึง โอกาสในการขายที่มากขึ้นเช่นกัน
.
Profile and Facebook Cover
เป็นรูปแรกที่จะเห็นเมื่อเข้ามาในเพจ Facebook เลยล่ะ ซึ่งขนาดมาตรฐานของ Profile จะอยู่ที่ 180 pixels x 180 pixels และขนาดของ Cover จะอยู่ที่ 820 pixels x 312 pixels โดยแสดงผลเต็มภาพบน Destop แต่แสดงผลแค่ตรงกลางบนโมบาย คือ 560 x 312 pixels
.
Facebook Stories
ปัจจุบัน Stories บน Facebook รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นอีกหนึ่ง Placement ที่ไม่ควรพลาด โดย Facebook Stories มีการแสดงผลเป็นรูปแบบแนวตั้ง
ซึ่งสามารถอัปโหลดคลิปได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แต่ขนาดที่เหมาะสม ที่สุด คือ แนวตั้ง 1080 x 1920 px
.
Facebook Posts
หากแบรนด์คุณมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ การแชร์ลิงก์ไว้บน Social Media เป็นการสร้าง Traffic เข้าเว็บไซต์ที่ช่วยเพิ่มคะแนน SEO ได้ดีมาก ซึ่งการใช้รูปภาพที่เหมาะสมจะทำให้การแชร์ลิงก์ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
รูปภาพที่อยู่บนลิงก์ที่ถูกแชร์มายัง Facebook จะเป็นภาพเดียวกันกับภาพประกอบบทความที่อยู่เว็บไซต์ หรือไม่ก็ได้ ซึ่งสัดส่วนรูปที่เหมาะสมคือ สัดส่วน 1.91:1 หรือ 1200 x 628 px
การโพสต์รูปเป็นแบบอัลบั้ม จะช่วยให้สินค้าดูมีความน่าสนใจได้มากกว่าการโพสต์รูปเดี่ยว โดยเฉพาะโพสต์ที่แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม การแสดงข้อมูลด้วยภาพหลายๆ ภาพ จะสามารถเล่าเรื่องราวได้มากกว่า
ซึ่งขนาดและความละเอียดที่เหมาะสมสำหรับโพสต์แบบอัลบั้ม คือ
ขนาดที่เหมาะสม คือ 1200 × 600 px (สำหรับหน้าปก) 1200 × 1200 px (สำหรับภาพด้านใน)
ขนาดที่เหมาะสม คือ 1200 × 800 px (สำหรับหน้าปก) 1200 × 1200 px (สำหรับภาพด้านใน)
ขนาดที่เหมาะสม คือ 600 × 1200 px (สำหรับหน้าปก) 1200 × 1200 px (สำหรับภาพด้านใน)
ขนาดที่เหมาะสม คือ 800 × 1200 px (สำหรับหน้าปก) 1200 × 1200 px (สำหรับภาพด้านใน)
.
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ หรือ Content Creator ทั้งหลายได้ข้อมูลแบบครบถ้วนเพื่อนำไปใช้ปรับแต่งหน้าโซเชียลมีเดียของคุณให้สวยงามและโดดเด่นขึ้นมาได้นะครับ และถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากเจาะลึกรายละเอียดที่จำเป็นหรือเคล็ดลับที่ไม่มีใครเคยบอกมาก่อนเกี่ยวกับการทำแบรนด์ผ่าน Social Media ให้ปัง! ทาง Eddu ก็มีคอร์สที่สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างหลักสูตร Graphic Design 2 in 1 Adobe Photoshop & Illustrator ก็เปลี่ยนคุณเป็นนักออกแบบมืออาชีพได้! สามารถกดดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย
สมัครเลย!
หลักสูตร Graphic Design 2 in 1
Adobe Photoshop & Illustrator
หลักสูตรที่ครบเครื่องที่สุด ในการออกแบบ Graphic สอนตั้งแต่หลักการพื้นฐานในการจัดวาง จนถึงจับมือพาทำโปรแกรม Adobe Photoshop & Illustrator โดยนักออกแบบมืออาชีพ
อ้างอิง
https://visme.co/blog/social-media-image-sizes/www.missyano.comwww.veed.io